บทเรียน(วันนี้)จากหมอที่ รพ.สัตว์เกษตร

       เช้านี้พาซันช่ายไป รพ.สัตว์เกษตร เพราะมีอาการลุก-นั่งร้อง เอาแต่ยืน ยกขาหลังขวาเป็นระยะๆ สั่น ซึม ไม่วิ่งไม่ค่อยนั่งหรือนอน ซึ่งจริงๆซันช่ายเคยเป็นอย่างนี้มาครั้งนึงแล้วเมื่อปี 55 แต่ตอนนั้นมีอาการหลายอย่างมาก มีอาการตาเหล่ข้างนึงร่วมด้วย หมอตอนนั้นวินิจฉัยตอนแรกว่าเป็นโรค Beagle Syndrome เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทเกี่ยวกับการควบคุม เพราะตอนนั้นขาหลังซันช่ายตอบสนองผิดปกติด้วย เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทั้งเจาะเลือด x-ray กินเสตียรอยด์ เช็คค่าตับไตกันตลอด  เราสู้กับโรคของซันช่ายเรื่อยมาจนมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆและนึกว่าหายไปแล้ว 

เมื่อสักปลายอาทิตย์ที่แล้วมาสังเกตุเห็นความผิดปกติของเค้าอีกครั้งและวิตกกังวลเรื่อยมา ตอนแรกก็คิดว่าหรือเพราะเราพาเค้าออกำลังกายมากไป คือหลังๆจะไปวิ่งด้วยกันทุกเช้า คงจะหักโหมไป ก็เลยให้เค้าพัก แต่หลายวันแล้วอาการไม่ดีขึ้น คิดว่ามันคงอักเสบมากแล้วแหละเลิกวิ่งยังไงก็คงไม่ดีขึ้น คงต้องให้ยาลดอาการก่อน แล้วเรื่องการปฏิบัติตัวคงเป็นเรื่องหลังจากนั้น วันนี้เลยตัดสินใจมารพ.แต่เช้า รอบัตรคิวได้หมายเลข 59 สังเกตุว่าวันนี้รอไม่นานได้เรียกเข้าห้องตรวจประมาณ 9.45 (มารับบัตรคิวประมาณ 8.30) ปรากฎว่าเข้าห้องไปพบอาจารย์หมอ ซึ่งก็ถามอาการเราก็บอกไปและโยงให้เค้าอ่านประวัติการรักษาของซันช่ายที่มีแต่เดิมด้วย หมอว่าหมออ่านแล้วและตั้งข้อสังเกตุว่า 'ซํนช่ายประวัติการรักษาเยอะมาก มาหาหมอบ่อยแสดงว่าเจ้าของมีเวลาใช่มั้ยคะ?' 
อึ้งไปนิดนึงไม่รู้จะตอบยังไงดี ในใจก็นึกว่า ก็หมาป่วยมันไม่มีเวลาได้ด้วยเหรอ? แต่ไม่ได้พูดอะไรไปก็ได้แต่ตอบเรียบๆว่า 'ค่ะ'  


หมอก็จำหน่ายให้ไป x-ray ก่อน คือ x-ray ทั้งตัวตั้งแต่คอลงมาเลย ซ้าย-ขวา-หงาย-คว่ำ ซึ่งซันช่ายเจ็บปวดทรมาณมากร้องตลอด ซึ่งจนท.พูดว่า ทนหน่อยนะครับถ้าไม่ x ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ไม่หายสักทีน่าสงสารกว่านะ .....


เสร็จแล้วก็กลับมาที่ห้องตรวจซึ่งแปลกเพราะเหมือนหมอรออยู่ ไม่ได้ตรวจใครต่อทั้งๆที่คนรอก็เยอะ  ก็เข้าไป หมอก็เริ่มชี้แจงว่าซันช่ายน่าจะเป็นโรคข้อสะโพกอักเสบ หรือข้อหลุดจากเบ้าประมาณนี้ สาเหตุมาจากลักษณะเบ้ากระดูกของเค้าผิดปกติตั้งแต่เกิด คือเป็นแบนๆ ไม่กลมเลยทำให้มันไม่เกาะหรือเสียดสีง่าย ยิ่งอายุเยอะจะยิ่งเป็น หมอชี้ฟิล์ม x-ray ให้ดูแล้วบอกว่า จริงๆเมื่อปี 55 ก็ได้ x-ray แล้วและก็เห็นในฟิล์มตอนนั้นด้วย แต่อาจไม่ชัดมากหมอที่วินิจฉัยอาจไม่เห็นเลยไม่ได้บอกว่าเป็น แต่ตอนนี้พอ x ใหม่มันเห็นชัดแล้ว และซันช่ายมีอาการหัวใจด้านขวาโตด้วย แต่นิดหน่อยไม่ส่งผลอะไร สาเหตุมาจากการเป็นหมานอนกรน คือลักษณะทางสรีระอาจเป็นหมาที่ลิ้นไก่ยาว(โดยเฉพาะพันธุ์บีเกิ้ล) ทำให้เวลานอนมันไปกั้นทางเดินหายใจ หัวใจด้านขวาเลยทำงานหนักก็เลยมีขนาดโตกว่าด้านซ้าย แต่ตอนนี้โดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสำหรับเรื่องนี้  หมอวกกลับมาเรื่องข้อสะโพก โดยบอกว่าโรคนี้ปัจจุบันมันรักษาไม่ได้เพราะสาเหตุเกิดจากสรีระของหมาเอง ผ่าตัดก็ยังทำไม่ได้ในไทย วิธีการรักษาคือให้ยาเพื่อลดปวดลดอักเสบ ให้หมาลดน้ำหนัก และจำกัดพื้นทีให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยยาที่จะให้ก็เป็นกลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งมีผลข้างเคียง หมอย้่ำหลายครั้งมาก.... จริงๆเราก็รู้จักสเตียรอยด์อยู่แล้วเพราะก็เคยกิน....แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรยืนฟังเป็นเด็กดีพยักหน้าหงึกๆ  


หมอเริ่มเข้าประเด็น....ดูจากประวัติการรักษาแล้วคุณน่าจะพอมีเวลา หมอจะชวนเข้าโครงการทดสอบยา โดยบอกว่ายาตัวนี้คือ โอเมก้า3 ซึ่งสรรพคุณครอบจักรวาล รักษาได้แทบจะทุกโรค จนฟังแล้วเหมือนยาผีบอก ซึ่งในคนก็ใช้กันอยู่ แต่สำหรับในสุนัขเพิ่งอยู่ในขั้นทดลอง เพราะยังไม่รู้ Dose ที่แน่นอนแต่เราพบว่ามันช่วยลดอาการอักเสบได้ โอเมก้า3 เป็นยาไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย(จริงรึ?) ไม่เหมือนสเตียรอยด์หรือยาในกลุ่มอื่นๆ 
หมอพยายามอธิบายว่ายามันดีมาก และที่สำคัญมันแพงมาก ตอนนี้มีหมาอยู่ในโครงการนี้แล้ว 30 ตัว  ถ้าซันช่ายตกลงเข้าร่วมโครงการทดลองยานี้หมอจะเป็นผู้รับผิดชอบค่ายาเอง ระยะเวลาในการทดสอบยา 5 สัปดาห์ โดยเจ้าของต้องพาซันช่ายมาหาหมอทุกวันศุกร์เพื่อเพิ่มลดยาและติดตามผล  หมอบอกว่าหมออยากตีพิมพ์ในวารสารแพทย์ ถ้ามีสถิติตัวเลขของหมาเยอะๆ ฝรั่งเค้าน่าจะชอบ...  ณ จุดนี้ไม่แน่ใจว่าหมอพูดเพื่ออะไร แต่สำหรับเราฟังแล้วเกิดคำถามในใจว่า... หืมมม? ตกลงมันเพื่อหมาหรือเพื่อหมอกันล่ะเนี่ย?...  หมอย้ำมากว่ายาแพง เลยถามหมอว่าค่ายาเม็ดละเท่าไรเหรอคะ?  60 บาท/เม็ด คือคำตอบ  ฟังแล้วนึกในใจว่าก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากถ้ายามันดีจริงราคานี้ก็จ่ายได้ หมอก็ย้ำมากว่าถ้าเข้าโครงการจะฟรีหมดไม่ต้องออก หมอเป็นคนออกค่ายาตรงนี้เองแต่ขอร้องว่าอย่าเลิกทดสอบยากลางคัน เพราะหมอเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายถ้าเลิกก่อนก็คือลงทุนสูญไป....หมอพูดต่ออีกว่า ถ้าซันช่ายตกลงเข้าร่วมโครงการหมอจะดูแลเรื่องโรคระบบประสาทให้ไปพร้อมๆกันด้วย จะส่งไปหาอาจารย์หมอผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเลย หรือถ้าตรวจเลือดออกมาแล้วพบว่าซันช่ายเป็นโรคอื่นใดนอกเหนือจากนี้ก็จะติดต่อส่งตัวให้เลย หมอไม่ได้พูดคำว่า 'จะดูแลให้เป็นพิเศษ' ถ้าตัดสินใจเข้าร่วมโครงการออกมาตรงๆ แต่หมอพูดในลักษณะให้เข้าใจว่าซันช่ายจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษถ้าเข้าร่วมโครงการนี้...ตรงนี้แหละที่ทำให้ลังเล คือตอนนั้นค่ายา หรือการต้องมาหาหมอทุกวันศุกร์ไม่ใช่ประเด็น แต่ซันช่ายจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นอะไร มันเป็นอะไรที่ปฏิเสธลำบาก ถามว่ากิเลสมั้ยก็กิเลสนั่นแหละ คนเราก็มักโดนคนอื่นหลอกโดยอาศัยกิเลสของเราเองนี่แหละ 
 ..เลยตกปากรับคำกับหมอไปตอนนั้นว่าโอเคจะเข้าร่วม หมอท่าทางดีใจ รีบเขียนใบนัดให้บอกว่าให้มาวันศุกร์ก่อน 9 โมงเช้ามารับบัตรคิวตามปกติ แต่ไม่ต้องไปเบียดคิวกับใครคือคิวแค่หมาที่เข้าร่วมโครงการด้วยกันเท่านั้น  พอเราตกปากรับคำหมอแล้วว่าจะเข้าร่วมโครงการ หมอเริ่มลงดีเทล...

หมอบอกว่าหมอออกแต่ค่ายาเม็ดละ 60 บาทเท่านั้นนะคะ ซึ่งตอนนี้หมอได้ยาที่บริษัทยาส่งมาให้ทดลองใช้จำนวนหนึ่งซึ่งจะหมดอายุภายในสิ้นเดือนนี้(...!?!?!?!) หมดจากยาชุดนี้แล้วจะเป็นส่วนที่หมอต้องควักตังค์จ่ายเองแล้วนะ เพราะฉนั้นขอร้องอย่าเลิกกลางคันนะคะ....ส่วนค่าอื่นๆเจ้าของต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง ซึ่งอาจจะมีค่า x-ray ค่าเจาะเลือดตรวจต่างๆ เพราะต้องติดตามผลตลอด(....คิดว่ามากกว่าค่ายาแน่ๆ..... - -') เจ้าของต้องรับผิดชอบเองทั้งหมดค่ะ  


....กระพริบตาปริบๆแระตอนนั้น คือยังพูดอะไรไม่ออก ระยะเวลาที่ยืนคุยกับหมอนี่ราวๆ 10 กว่านาที ข้อมูลพรั่งพรูประมวลผลไม่ทัน ที่ทำได้คือฟังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมอจัดแจงส่งตัวให้ไปเจาะเลือดตรวจ โดยบอกว่าต้องตรวจเลือดก่อนเพื่อเช็คค่าตับ ค่าไต ค่าอื่นๆของซันช่ายก่อน โดยวันศุกร์นี้ให้เจ้าของพาซันช่ายมาฟังผลเลือด ถ้าทุกอย่างออกมาโอเคซันช่ายเข้าร่วมโครงการได้ก็จะเริ่มให้โอเมก้า3 แต่ถ้าผลเลือดซันช่ายไม่สมบูรณ์ก็จะไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้โอเคนะคะ.... ว่าแล้วหมอเดินนำไปห้องตรวจเลือดบอกว่าหมอต้องไปบอกหมอเจาะเลือดเองว่าต้องการเลือดแบบไหนเดี๋ยวฝากเจ้าของไปบอกแล้วบอกผิดจะเสียเวลาใช้ไม่ได้.....คือทุกอย่างเกิดขึ้นไวและเป็นไปแบบรวบรัดขั้นตอนมาก เราเดินตามหมอไปแบบมึนๆ ในหัวยังประมวลผลอยู่ ระหว่างยืนรอเรียกเจาะเลือดอยู่ ก็พยายามทบทวนตลอดว่าที่ตกลงเข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อซันช่ายจริงๆหรือเปล่า.....อรุษตามมาสมทบพอดีเลยได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ไม่ว่าเรื่องอะไรเมื่อเวลาที่เราต้องประมวลคำถ่ายทอดอีกครั้งให้คนอื่นฟังมันจะมีแต่ข้อมูลเกือบจะล้วนๆ เพราะเราจะจำได้แต่สิ่งที่สำคัญๆที่ควรบอกเพื่อการตัดสินใจ มันจะไม่มีคำพูดโน้มน้าวหรือชักนำของหมอลงไปในนั้นด้วย พอเล่าๆไปอรุษก็จะมีเสียงทักตลอด เช่น อ๊ะ!...เหรอ?...เอ๊ะ?...อืมมม...ห๊ะ?....ฯลฯ อะไรประมาณนี้ ซึ่งพอเราดูอาการคนฟังประกอบกับได้ยินแต่ข้อมูลล้วนๆจากปากต้วเอง ก็เริ่มชัดว่าเฮ้ยไม่ใช่แระ มันแปลกๆนะเรื่องนี้ ก็ตกลงกันว่าจะไปปฏิเสธหมอแล้วไม่เข้าร่วมโครงการเพราะรู้สึกไม่มั่นใจว่าประโยชน์ที่ได้รับมันเกิดกับหมาเราหรือมันเกิดกับหมอกันแน่ แล้วยามันก็อยู่ในขั้นทดลอง Dose ก็ยังไม่รู้แสดงว่าเค้าก็ต้องใช้หมาเราเป็นหนูลองยา และไม่มีอะไรการันตีว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหมาเราจะยังไง ต่อให้หมอบอกว่าจะรักษาให้ถ้าเกิดผลข้างเคียงใดๆ คือรักษาไม่รักษาเราไม่สน แต่เราไม่ต้องการให้หมาเราเสี่ยงตั้งแต่แรกต่างหาก ถ้าจะบอกว่าหมาจะได้ทำบุญเป็นผู้เสียสละผลงานวิจัยจะเป็นประโยชน์กับหมาตัวอื่น อืมมม..ก็ไม่รู้สินะ หมามันพูดไม่ได้ เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันอยากเป็นผู้เสียสละรึเปล่า เรื่องทำบุญมันก็ไม่ควรบังคับกัน คงต้องแล้วแต่เจ้าตัว แต่กรณีนี้หมามันพูดไม่ได้ สิ่งที่เราจะทำแทนเขาได้คือนึกถึงประโยชน์ของเค้าก่อน ถ้าอะไรที่ต้องเสี่ยงกับชีวิตและสุขภาพเค้าแล้วเค้าออกมาปกป้องตัวเองไม่ได้เราในฐานะเจ้าของก็ควรทำหน้าที่นั้นแทน ......ซึ่งพอคุยกันก็เป็นตอนที่เค้าไล่ให้เราไปจ่ายเงินแล้ว พอไปจ่ายเงินจนท.บอกว่าพันสี่ร้อยกว่าบาทและไม่มียากลับบ้านนะคะ!...ตอนนั้นเป็นอะไรที่เป็นจุดสิ้นสุดความลังเล!....  

ย้อนไปตอนที่อยู่ในห้องกับหมอ จำได้ว่าถามหมอไปว่าระหว่างที่หมอให้โอเมก้า3 หมอจะให้ยาแก้ปวดแก้อักเสบร่วมด้วยมั้ยคะ?  ที่ถามก็เพราะกังวลว่าถ้าโอเมก้า3 ไม่ได้ผลแล้วหมอไม่ให้ยาอื่นร่วมด้วยระหว่างทดลองหมาก็ต้องทนปวดไปเหรอคือสิ่งที่อยู่ในใจ...หมอรีบบอกว่าไม่ให้ค่ะ ให้ไม่ได้เพราะผลมันจะไม่เคลียร์ว่าหมาหายเพราะอะไรกันแน่ เราฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ เข้าใจในเหตุผลของเค้าว่าเค้าต้องการผลคลีนๆเลยต้องให้โอเมก้า3 อย่างเดียว ไม่งั้นเดี๋ยวผลมันไม่ชัด  ซึ่งตอนนั้นบอกตรงๆว่านึกไม่ถึงว่าหมอจะหมายถึงว่าตอนนี้(ก่อนเข้าร่วมโครงการ) ก็จะไม่ให้ยาด้วย? แล้วหมาเราต้องทนปวดโดยไม่ได้รับยาอะไรเลยไปจนถึงวันศุกร์จึงจะเริ่มได้รับโอเมก้า3 ไปเพื่อ?  มันไม่ใช่เพื่อหมาแล้ว มันเพื่อหมอชัดๆ....ตอนนั้นยอมรับว่ารู้สึกแย่มาก เลยเดินกลับไปหาหมอที่ห้องแล้วถามย้ำหมออีกทีว่า 

'หมอคะ..ตกลงวันนี้หมอไม่ให้ยาแก้ปวดแก้อักเสบเลยเหรอคะ?'
 หมอตอบว่า 'ให้ไม่ได้ค่ะ ให้ไปหมาก็หายสิคะแล้วจะเข้าโครงการไปทำไม?!

เออนั่นสินะ!....เลยบอกหมอไปเลยว่างั้นไม่เข้าร่วมแล้วค่ะดิฉันไม่สามารถให้หมาทนปวดไปจนถึงวันศุกร์ได้ 

หมอท่าทางโกรธ บอกโอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวจ่ายยาให้ ไล่ให้เราไปเอาแฟ้มประวัติคืนมาให้นางเซ็นต์เรื่องยา แล้วเอาไปจ่ายเงินอีกครั้ง ขณะรอจ่ายเงินเห็นหมอเดินสะบัดตูดขึ้นลิฟท์ไป บอกตรงๆว่ารู้สึกแย่มาก ตอนที่จะเกลี้ยกล่อมให้เราเข้าโครงการก็อธิบายเยอะแยะไปหมด ดูใส่ใจ ดูไต่ถาม แต่พอเรากลับไปปฏิเสธว่าไม่เข้าร่วมแล้ว หมอไม่ใยดีอะไรเลย เซ็นต์แกร๊กแล้วเดินหนีไปเลย ซึ่งพอจ่ายเงินต้องจ่ายอีกสี่ร้อยกว่าบาท ปรากฎว่าได้ยามาซองเดียวเป็นยาในกลุ่ม non-สเตียรอยด์ ถามจนท.ว่าแล้วนัดครั้งต่อไปล่ะ? จนท.บอกหมอไม่ได้นัดนี่คะ....ก็งงๆ ว่าหมาเป็นโรคข้อสะโพกให้ยามาซองเดียวนับเม็ดแล้วคือกินได้ 7 วัน ตกลงอี 7 วันนี่คือหายเลยเหรอ ไม่ต้องตามอาการอะไรเลยเหรอ แล้วเจาะเลือดไปทำไม.....ขนาดแค่หมาเป็นหวัดให้ยาแล้วก็ยังนัดแล้วนัดอีก แต่นี่เป็นข้อสะโพกไม่นัดเลย....ตอนนั้นโกรธ สับสนและงงมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตกลงพอเราปฏิเสธว่าไม่ร่วมโครงการแล้วโดนทิ้งแบบนี้เลยเหรอ....
เดินไปถามจนท.ที่เคาน์เตอร์หน้าห้องหมออีกครั้ง ว่าทำไมไม่มีการนัด แล้วตรวจเลือดไปทำไม พอดีหมอลงจากลิฟท์เดินมาที่เคาน์เตอร์พอดี เลยถามหมอเอง หมอบอก หมอไม่นัดเพราะหมอไม่ใช่หมอ OPD ทั่วไป หมอจะลงมาเฉพาะเคสที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น คุณไม่เข้าร่วมจะให้หมอนัดได้อย่างไร  นึกในใจว่าอ้าวนี่เราต้องเริ่มใหม่หมดเลยเหรอแล้ววันนี้เสียเวลาเสียเงินเสียเลือดหมาไปทำไมวะทั้งที่จริงๆแล้วเราก็มา OPD ปกติไม่ได้เป็นคนแจ้งความจำนงค์จะเข้าร่วมโครงการอะไรนี่เลย อยู่ๆหมอก็มาสุ่มเราเองทำเราเสียเวลาแล้วไม่รับผิดชอบอะไรเลย....เลยถามหมอว่าไม่นัดแล้วต่อไปดิฉันจะมาต่อกับใครแล้วผลเลือดล่ะ หมอตอบว่าถ้าอยากรู้ผลเลือดก็มาขอทราบได้ภายหลังค่ะ  ก็งงอีกว่าคนที่สั่งเจาะเลือดคือหมอ แสดงว่าหมออยากได้ผลเลือดเพื่อการรักษาไม่ใช่เรา อยู่ๆเราจะอยากทราบผลเลือดไปทำไม คือเราจะมาขอผลเลือดไปทำไมล่ะคะ วินิจฉัยเองก็ไม่เป็น คืองงมาก คุณสั่งเจาะเลือดหมาเรา แล้วไม่นัดรักษาเพราะเราไม่เข้าร่วมโครงการ บอกเราแค่ว่าถ้าอยากได้ผลเลือดก็มาเอาวันหลัง ส่วนยา 7 วันถ้าไม่หายก็มาต่อคิว OPD ใหม่....คือเริ่มต้นใหม่หมดว่างั้น ...
คุยกันหน้าเคาน์เตอร์และคงจะเสียงดังพอสมควรสังเกตุเห็นคนที่นั่งรอหมออยู่มองมาเป็นสายตาเดียว เพราะหมอเองก็ท่าทางโมโหและใส่เต็มที่ ส่วนเราได้แต่ถามๆพูดไม่กี่คำเพราะอึ้ง งงทำอะไรไม่ถูก เค้าเป็นหมอข้อมูลต่างๆเค้าเยอะกว่าเรา พูดอะไรมาเราก็ต้องรับฟังและจะเอาอะไรไปเถียง เรามีแต่คอมม่อนเซ็นท์ที่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็ต้องกลับออกมาพร้อมคำถามลอยๆเหมือนตอกหน้าจากหมอว่า 
'ตามทันมั้ยคะ ไม่ทราบว่างงตรงไหนอีก?' ......

...ตอนนั้นคิดไม่ทัน แต่ตอนนี้อยากจะบอกหมอว่าใอ้ที่งงและตามไม่ทันหน่ะไม่ใช่สิ่งที่หมอพูดหรอกค่ะ แต่เป็นสิ่งที่หมอทำต่างหาก!....

ถามว่าโกรธมั้ย.. ตอบเลยโกรธ... แต่ไม่อยากจองเวรหรือมีเรื่อง เรารู้ว่าเรามีเหตุผลและสมควรได้รับการปฎิบัติในแง่มนุษยธรรมที่หมอพึงมีต่อคนไข้มากกว่านี้ แต่เราเห็นแล้วว่ามันคงไม่มีประโยชน์ที่จะไปถามหาสิ่งนี้จากหมอท่านนี้ ....

ก็ขอให้คุณหมอได้ลงวารสารแพทย์สมความปรารถนานะคะ ถ้าอยากจะเก่งหรืออยากจะดังมันไม่ยากหรอกค่ะ  ก็ทำแบบคุณหมอทำนี่แหละสุ่มๆทำไปให้ได้คนร่วมโครงการเยอะๆ เดี๋ยวก็ได้สมใจ แต่ถ้าอยากจะเป็นหมอที่ดี แนะนำให้เพิ่มพูนความรู้ด้านศีลธรรม มนุษยธรรมและเมตตาธรรมเยอะๆ นะคะ สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้หมอเป็นหมอที่ดังแต่จะทำให้เป็นหมอที่ดีได้ และจริงๆแล้วหัวใจของการเป็นหมอคือการรักษา ทำให้คนไข้หายจากโรคที่เป็น และพ้นจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณ ไม่ใช่การได้ทำงานวิจัยลงวารสารแพทย์ ฝรั่งจะได้เยินยอ 

.....เอ่อ...ตรงนี้ไม่ทราบหมอตามทันมั้ยคะ งงตรงไหนรึเปล่า?




ความคิดเห็น

Unknown กล่าวว่า
หมอโคตรเลว​ เห็นแก่ตัว​ หมามารักษาเพราะเจ็บปวดทรมาน​ มึงไม่ทำอะไรกลัวหมาหาย​ โคตรเหี้ยเลย​ เป็นเรานี่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด​ ค่ายาเม็ดละ​ 60​ แพง​ ถุย!! ค่าตรวจเลือด​ xray ที่เจ้าของหมาต้องออกเองเพราะความอยากรู้ผลจากการกินยาต่างหากที่แพง​ เลวๆแบบนี้คงมีวันเจริญหรอก

บทความที่ได้รับความนิยม