ความสุข


"When I was 5 years old, my mother always told me that happiness was the key of life.  When I went to school, they asked me what I wanted to be when I grew up.  I wrote down 'happy'.  They told me I didn't understand the assignment, and I told them they didn't understand life." 
                                                                 ~John Lennon~  


"มนุษย์ เป็นสิ่งที่แปลกที่สุดในโลก เพราะเขายอมสละสุขภาพเพื่อหาเงิน แล้วก็สละเงินเพื่อให้สุขภาพฟื้นกลับมา และเขาห่วงอนาคตมากจนไม่มีความสุขกับปัจจุบัน ผลก็คือเขาไม่อยู่ทั้งปัจจุบันและอนาคต เขาอยู่เหมือนจะไม่มีวันตาย และท้ายสุดเขาก็ตายไปโดยไม่ได้มีชีวิตอยู่จริง ๆ"
                                                                   ~องค์ดาไลลามะ~ 
ฉันชอบ 2 ประโยคจากบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างน่าทึ่ง 2 คนนี้มากๆ  เมื่ออ่านทบทวนเนื้อหาใจความดูดีๆ แล้ว จะพบว่ามันสอดคล้องกันหรือพูดเรื่องเดียวกันนั่นแหละ นั่นคือการพูดถึงการใช้ชีวิต....
สมัยเด็กๆ ด้วยครอบครัวที่แตกแยกและต้องเผชิญกับพายุอารมณ์จากทั้งพ่อ แม่ และพี่ชาย ทำให้ฉันรู้สึกเป็นทุกข์และไม่เข้าใจชีวิต และโดยไม่รู้ตัวเมื่อทบทวนดูแล้ววัยเด็กของฉันหมดไปกับการใช้ชีวิตนอกบ้านซะเยอะ
วัยประถมพอกลับจากโรงเรียนหรือวันเสาร์อาทิตย์ ฉันมักจะขี่จักรยานคู่ใจลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยละแวกบ้าน หาเรื่องเล่น หาอะไรทำจนเย็นย่ำถึงได้เข้าบ้าน 
วัยมัธยมฉันไปด้อมๆมองๆแถวห้องสมุดแล้วพบว่าเลิกเรียนบ่ายสามโมง แต่ห้องสมุดยังเปิดอยู่ถึง 5 โมงเย็น จึงไปสมัครเป็นผช.อาจารย์บรรณารักษ์ คอยรับคืน-ให้ยืมหนังสือหน้าเคาน์เตอร์ เอาหนังสือไปจัดเก็บที่ชั้ันจนห้องสมุดปิดค่อยกลับบ้าน วันไหนไม่ค่อยมีคนมายืมก็นั่งอ่านหนังสือตามแต่จะสนใจไปพลางๆ
วัยมหาลัย เลิกเรียนบ่ายโมงครึ่ง ก็ไปเตร็ดเตร่แถวโรงยิมแล้วพบว่านักกีฬาเค้าซ้อมกีฬากันถึง 2 ทุ่มทุกวัน จากนั้นฉันก็ไปเคาะบาสเล่นที่โรงยิมเป็นประจำจนได้รับการชักชวนให้เป็นนักกีฬา ออกจากบ้านแต่เช้ามาเรียน เรียนเสร็จซ้อมกีฬาต่อถึง 2 ทุ่มทุกวันค่อยกลับบ้าน
 ที่เป็นอย่างนี้มันไม่ใช่เพราะอยากหาประสบการณ์หรือใฝ่ดีอะไรหรอก แต่เป็นเพราะฉันพยายามจะอยู่ให้ไกลจากความทุกข์ต่างหาก  ด้วยวัยวุฒิและความไม่ประสากับชีวิตในตอนนั้นฉันจึงไม่รู้วิธีว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขท่ามกลางสภาพครอบครัวแบบนั้นได้อย่างไร วิธีง่ายๆประสาเด็กจึงคิดแค่ว่าถ้าอยู่บ้านแล้วไม่มีความสุข งั้นอยู่ให้ไกลจากบ้านก็น่าจะพอแล้ว 
จนมาถึงวัยทำงาน ที่ทำไปได้สักพักเริ่มมีคำถามกับชีวิต ประเภท เกิดมาทำไม? ชีวิตมันมีแค่นี้หรือ...เกิดมาเรียนๆๆ จบมาทำงาน แต่งงาน ซื้อบ้าน ซื่อรถ มีลูก ส่งลูกเรียนจนจบ เกษียณแล้วก็ตาย! ...งั้นเหรอ? ตกลงชีวิตนี้มันเพื่ออะไรและเพื่อใครกันแน่(วะ)?
คำถามที่เกิดในใจพวกนี้แหละที่ผลักดันให้ฉันค้นหาคำตอบของการมีชีวิตอยู่ และมันจะผุดถี่ขึ้นๆโดยเฉพาะเวลาที่ชีวิตมีปัญหาหรือมีความทุกข์...
ผ่านชีวิตผ่านเรื่องราว ผ่านการลองผิดลองถูกมามากมาย เคยทำงานกินเงินเดือน  เคยลาออกมาขายของข้างทาง เคยกลัีบเข้าไปทำงานในระบบอีกครัี้ง และเคยลาออกมาอีกครั้ง เคยนอนอยู่บ้านเฉยๆไม่ทำอะไรเกือบสองปี เคยเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ฯลฯ ... เคยทำมาแล้วทุกอย่างลองมาแล้วแทบทุกวิธี แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีปัญหาและไม่เคยเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้เสียที  
หลังๆเริ่มมีความสงสัยว่าตัวเองจะมาผิดทาง หรือทำผิดวิธีแน่ๆ  เพราะได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมแล้วก็หลายครั้งแต่ยังคงเป็นคนมักโกรธและเพ่งโทษผู้อื่นอยู่ตลอด เป็นคนเครียดจนเื่พื่อนกลัวไม่อยากเข้าใกล้  เกิดคำถามในใจว่าทำไมคนที่ผ่านการฝึกฝนและปฏิบัติธรรมมาแล้วอย่างเราจึงยังดูเป็นคนมีปัญหา ทำไมไม่ใส ไม่เย็น จริงๆถ้่าเรารู้และเข้าใจชีวิต เข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆบนโลกอย่างแท้จริง ท่าทีของเราต่อสิ่งที่มากระทบในชีวิตไม่ควรจะเป็นแบบนี้ เคยนั่งมองคนปฏิบัติธรรมหลายคนที่ดูแล้วค่อนข้างสับสนและเป็นดูเป็นคนมีปัญหาเหมือนเรา ต่างจากบางคนที่เราเคยเห็น ซึ่งมีทั้งคนปฏิบัติธรรมและคนไม่เคยปฏิบัติ ดูเค้าใช้ชีวิตกลมกลืนเป็นธรรมชาติและเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง...
...มันเหมือนเรายังขาดชุดความรู้อะไรบางอย่างไป หรือเรามาถูกทางแล้วแหละแต่เลี้ยวผิดซอยแน่ๆ 
จากข้อสงสัยที่มีให้กับตัวเอง เลยอยากลองหาแนวทางใหม่ๆดูบ้าง เหมือนเวลาเราดูแผนที่ในมือแล้วยังคงขับรถหลงทางวนกลับมาที่เดิม 3 รอบแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือโยนแผนที่ทิ้งไปเบาะหลังก่อนแล้วเปิดกระจกถามทางชาวบ้านดูบ้าง เผื่อได้แนวทางอะไรใหม่ๆ  
เลยชอบที่จะไปหาหนังสือแนวใหม่ๆมาอ่าน  จนได้มาเจอหนังสือเกี่ยวกับคำสอนของท่านติช นัท ฮัน จึงได้เรียนรู้วิถีพุทธในแนวทางเซนที่ำอ่านแล้วทำให้มีความเข้าใจชีวิตมากกว่าเดิม และเป็นการเข้าใจชีวิตในแบบที่ผ่อนคลายมากขึ้นด้วย  ค่อยๆเข้าใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนมาจากข้างในใจตัวเราเองทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะโลกภายนอกอย่างที่เราเข้าใจหรอก....และการยอมรับว่าตัวเราเองมีปัญหา ทำให้เราตระหนักที่จะหาทางแก้ไข  ต่างจากเมื่อก่อนที่เวลามีปัญหามักมองออกไปนอกตัว โทษสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดปัญหา แต่ไม่เคยโทษตัวเองว่าเราเองนี่แหละเป็นต้นเหตุ หรือมีส่วนรับผิดชอบในปัญหานี้ด้วย 
...สิ่งที่ได้ค้นพบคือ เมื่อไหร่ที่เรายอมรับ มันจะเกิดการเรียนรู้และมันจะนำมาซึ่งการแก้ไข เป็นลำดับกันอย่างนี้

 
จากนั้นหรือพร้อมๆกันก็ได้อ่านหนังสือ 108 ความสุขที่ไม่ควรสูญเสีย ของพระครูใบฎีกา อำนาจ โอภาโส (ยังอ่านไม่จบ)  หนังสือเล่มนี้ท่านพระครูเขียนหนังสือธรรมะได้แปลกแหวกแนวจากที่เคยอ่านทั่วๆไป ท่านเขียนเหมือนเป็นกวี ใช้พรรณาโวหาร ใช้คำสวยงาม ผ่อนคลายและเนิบเย็น ในขณะเดียวกันก็รักษาเนื้อความและคำสอนทางพุทธไว้ได้ค่อนข้างครบถ้วน

                                                เสียในสิ่งไม่ควรเสีย ได้ในสิ่งไม่ควรได้

คือเสียความปกติสุขเดิมในใจที่มีอยู่ก่อน แต่กลับได้ความทุกข์ เพราะหลงคิดปรุงแต่ง พอความเผลอคิดดับ ทุกข์ก็ดับ ธรรมชาติแห่งความสุขก็เปิดเผย

ประโยคนี้อธิบายแก่นของหนังสือเล่มนี้ไว้หมดแล้ว

... หนังสือเล่มนี้เอาไว้อ่านก่อนนอน จริงๆไม่ได้อ่านเอง อรุษอ่านให้ฟังเหมือนเป็นนิทานก่อนนอนแทบทุกคืน ด้วยความที่เป็นหนังสือธรรมมะที่ใช้ภาษาที่สละสลวยเหมือนบทกลอน และถ่ายทอดในลักษณะเนิบเย็นเหมือนน้ำใสๆที่ปลอบประโลมจิตใจให้กลับสู่สภาวะสงบนิ่งสบาย ทำให้ปล่อยวางและหลับง่ายยิ่งขึ้น 
จากนั้นก็ได้หาคลิปวีดีโอของท่านอาจารย์ชยสาโรมาฟัง ก่อนหน้านี้เคยฟังธรรมะจากท่านชยสาโรมาครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว รู้สึกประทับใจ ท่านเป็นพระฝรั่ง พระป่าลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุำ้ภัทโธ ท่านเทศน์ได้ลึกซึ้งมาก อยู่ๆก็เกิดนึกอยากจะหาเสียงธรรมที่ท่านเทศน์เรื่องอื่นๆมาฟังอีก จึงลองค้นใน Youtube ดูมีคนอัพไว้เยอะมาก เจอหลายตอนที่น่าสนใจ เลยได้เซฟเก็บไว้ใน playlist รวม 92 ตอน เปิดฟังคลอตอนนั่งเย็บผ้า ฟังแล้วมีสมาธิ ได้ความรู้ เกิดความเข้าใจในเรื่องของพุทธรรมมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เคยไม่เข้าใจและเข้าใจผิดก็กระจ่างมากขึ้น ที่สำคัญทำให้เข้าใจในชีวิตเป็นมิตรกับตัวเิองมากขึ้นด้วย และคำถามที่เคยมีเช่น  เราเกิดมาทำไม? ชีวิตคืออะไร? ทำอย่างไรจึงจะประคับประคองจิตใจให้รื่นรมย์มีความสุขอย่างที่จิตตามธรรมชาติพึงมีได้ตลอดรอดฝั่งแม้มีสิ่งมากระทบ ...ทุกคำถามได้รับการตอบอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เข้าใจง่ายและไม่งมงาย
รู้สึกเหมือนตัวเองตื่นขึ้นมาอีกครั้งและอย่างแท้จริง และเป็นการตื่นที่เต็มไปด้วยสติและความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นด้วย 



 


 
การหาหนังสือดีๆอ่าน และได้ฟังเทศฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ เหมือนเป็นป้ายบอกทางให้เราไม่หลงทาง หลงชีวิต  ทำให้ฉันใช้ชีวิตง่ายและรื่นรมย์มากขึ้น  กระบวนการทั้งหมดนี้คงจะไม่เกิด ถ้าฉันไม่ยอมรับว่าอาจจะเลี้ยวผิดซอยตั้งแต่ตอนแรก ถ้าไม่ยอมรับว่าิผิดก็คงจะไม่ถอยออกมาตั้งหลักและเริ่มมองหาตัวช่วยใหม่ๆ และก็ึคงจะไม่ได้พบหนังสือและครูบาอาจารย์ดีๆ แบบนี้แน่ๆ 
 






ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม