Must do before die list...



เมื่อปลายปีที่แล้วฉันตัดสินใจซื้อเปียโนไฟฟ้ารุ่นพอใช้ได้้้มาหลังหนึ่ง ใช้เวลาหาข้อมูลและตระเวณดูเงียบๆ มาก่อนหน้านั้นหลายเดือน เพื่อนฝูงที่รู้ข่าวก็พากันแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆฉันก็ซื้อเปียโนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่เีคยเมนชั่น เม้นท์ไลค์ใดๆ ให้ระแคะระคายมาก่อน...ฉันได้แต่อมยิ้มชอบใจที่ตัวเองแลดูเป็นคนลึกลับคาดเดาไม่ได้ ดูเท่อยู่ 5 นาที... :p

อันที่จริงเปียโนกับฉันก็ไม่ใช่สิ่งปุบปับเพิ่งเิกิดขึ้น ย้อนกลับไปสมัยเด็ก ฉันเคยอยากเล่นเปียโน ชอบฟังเสียงและวิธีการที่เค้าพรมนิ้วลงบนลิ่มคีย์จนเป็นเพลง อยากจะเล่นเป็นกะเค้าบ้าง แต่แม่ไม่มีตังค์ ฐานะอย่างเราลงทุนผ้าแดงหนึ่งผืนสำหรับคอร์สเรียนพิเศษก็หรูแล้ว แม่พาไปสมัครเรียนรำที่ช่อง 5 สนามเป้า เพราะอยากให้ลูกมีความสามารถพิเศษอะไรกะเขาบ้าง เค้าเปิดสอนรำฟรี เรียนกันทีเป็นร้อยคน ^^'   ....ตอนนั้นเปียโนกับฉันมันก็เลยเป็นได้แค่ความฝัน เป็นความฝันที่พอโตขึ้นมาก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าอยากทำ จนมาเมื่อสองสามปีมานี้ที่ชีวิตมีจุดหักเหครั้งใหญ่ ทำให้ฉันหยุดทบทวนชีวิตตัวเองอย่างจริงจังว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่? ที่ทำอยู่นี้คือสิ่งที่อยากทำเพื่อให้ได้ชีวิตแบบที่อยากได้ใช่มั้ย?

ทริกเกอร์ของคำถามจริงจังเหล่านี้มาจากสิ่งง่ายๆที่เราทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันมานานแล้ว 'ความตาย' ไงล่ะ...

เมื่อประมาณสามปีที่แล้วฉันพบว่าตัวเองเป็นโรคที่รักษาไม่หายและไม่รู้จะตายเื่มื่อไหร่....โรคที่เป็นไม่ได้ร้ายแรงแบบมะเร็ง แต่อาการของโรคทำให้ฉันต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ขยับร่างกายแขนขาไม่ได้เลย  SNSA เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง แทนที่มันจะทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย มันกลับทำลายร่างกายเสียเองโดยเล่นงานข้อใหญ่ๆในตัวเรา เช่น คอ หลัง หัวไหล่ หัวเข่า ข้อมือ ข้อเท้า อาการของโรคก็มีข้อติด และเจ็บปวดตามข้อคล้ายคนไหล่หลุด หัวเข่าหลุด เราจะเจ็บปวดทรมาณมากขยับข้อส่วนนั้นและล่างลงจากนั้นไม่ได้เลย ...ไหล่หลุดจากเ้บ้าให้หมอจับยัดเข้าไปใหม่ก็หายแล้ว สมัยเล่นบาสฯ ฉันเคยเห็นเพื่อนไหล่หลุดและเห็นเพื่อนอีกคนจับไหล่เพื่อนที่กำลังแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวด ขยับสองสามทีไหล่ก็เข้าที่ หายเจ็บปวดเล่นบาสฯต่อได้ทันที แต่ SNSA ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันปวดแล้วไม่มีใครสามารถมาขยับให้มันหายได้ เราต้องกินยากดภูมิฯ และยาแก้อักเสบจำพวกสเตียร์รอยด์เพื่อบรรเทาอาการ หลังจากนั้นก็ทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงเฉยๆไปจนกว่าอาการจะทุเลาไปเองซึ่งจะกินระยะเวลาประมาณ 3-4 วันต่อการปวดข้อหนึ่งครั้ง ที่แย่คือพอหายจากข้อนี้ อาการมันก็ไปกำเริบที่ข้ออื่นอีก เช่น จากไหล่ ไปข้อศอก ข้อมือ หลัง หัวเหน่า หัวเข่า ข้อเท้า ไล่วนไปเรื่อยๆ  ตอนที่เป็นหนักๆ ใน 1 เดือนจะมีแค่ 4-5 วันเท่านั้นที่ฉันจะสามารถลุกมาทำอะไรแบบคนปกติได้  
....มันเศร้านะ เวลาที่คนที่เคยเป็นนักกีฬา เคยมีร่างกายที่แข็งแรงต้องมานอนนิ่งๆอยู่บนเตียง ไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่จะใส่ยกทรง หรือกางเกงในให้ตัวเอง  เวลาเป็นหนักๆ ฉันเคยคิดว่าบางทีการยอมรับความตาย อาจง่ายกว่าการพยายามจะมีชีวิตอยู่...

ฉันพยายามรักษาตัวอยู่นาน หมั่นไปพบแพทย์ตามนัด เจาะเลือดตรวจร่างกายทุกเดือน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะควบคุมได้ อาการของโรคลดความถี่ลงเหลือแค่เดือนละครั้งสองครั้งแต่ไม่หาย หมอได้แต่บอกว่าฉันต้องกินยาคุมอาการไปตลอดชีวิต.....ฉันอดคิดไม่ได้ว่า กินยาไปตลอดชีวิตมันคือการรักษาตรงไหนกันวะ?  และฉันก็ได้มาค่อยๆรู้คำตอบ เมื่อได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับโรคร้ายอีกโรค...

ขณะกำลังรวบรวมกำลังใจต่อสู้กับโรคที่ตัวเองเป็นอยู่ ฉันก็ได้รับข่าวจากพ่อที่ไม่เคยติดต่อกันมานานมากแล้ว ท่านกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ฉันพยายามเข้าไปเทคแคร์เท่าที่ทำได้ ช่วยเหลือทั้งการเงินและกำลังใจ ฉันซื้อหนังสือเกี่ยวกับโรคมะเร็งมาอ่านเยอะแยะ พาพ่อไปรักษาทั้งแผนโบราณและแผนปัจจุบัน ทั้งคีโมและยาหม้อ  

เราต่อสู้กับมะเร็งของพ่ออยู่เกือบสองปี ในที่สุดพ่อก็เสียชีวิต..

สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากมะเร็งคือมีทั้งคนที่เคยเป็นหนักๆ ระยะสุดท้ายแล้วก็ยังหายได้  และคนที่เป็นไม่มากแต่สุดท้ายตายด้วยมะเร็ง....ถ้าคุณกำลังเป็นโรคร้าย โปรดเข้าใจว่ายาและเคมีบำบัดที่ได้รับจากหมอไม่ใช่การ 'รักษา' มันคือการเยียวยาแค่ให้เราเจ็บปวดทรมาณจากโรคน้อยลงเท่านั้นแต่โรคยังอยู่กับเรา  ฉันพบว่าการรักษาคือการพยายามค้นหาต้นเหตุจของโรคให้เจอ แล้วลงมือแก้ไขตรงนั้น....ถ้าจะมีอะไรมารักษาให้มะเร็งหายได้ นั่นไม่น่าจะใช่ยา แต่มันน่าจะเป็นการยอมเปลี่ยนชีวิตตัวเองทั้งชีวิต....ตรรกะง่ายๆคือ ถ้าการดำรงชีวิตของเราก่อนหน้านี้มันทำให้เกิดโรคร้ายได้ มันก็น่าจะหายได้ถ้าเราเปลี่ยนตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง ความเครียด ความคิด ทัศนคติที่มีต่อโลก ต่อคนรอบข้าง อาหารการกิน เป็นอยู่หลับนอน ทุกอย่างเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหมด  มีหลายคนเปลี่ยนได้และเค้าก็หาย แต่บางคนหายจากโรคไปสิบปีแล้วกลับมาเป็นใหม่แล้วเสียชีวิตก็มี เพราะเค้ากลับมาใช้ีชีวิตแบบเดิมๆอีก  ในชีวิตเราอาจมี second chance ได้กับหลายๆเรื่องที่ทำผิดพลาด แต่ไม่ใช่กับมะเร็ง...เท่าที่ฉันรู้ 


นี่แหละคือจุดผกผันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน ....มันเปลี่ยนและมันปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาพิจารณาีชีวิตตัวเอง ภาพความหวาดหวั่นกับความตายที่ยืนอยู่ต่อหน้าในยามที่โรคตัวเองกำเริบ หรือตอนไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลเดินผ่านห้องผู้ป่วยหนักที่นอนเรียงรายสิ้นหวังอยู่บนเตียง ทำให้ฉันเริ่มคิดถึงวาระสุดท้ายของชีวิตตัวเองบ้าง....

เราเปลี่ยนแปลงอะไรกับความตายไม่ได้ เรากำหนดไม่ได้ว่ามัีนจะมาเมื่อไหร่ยิ่งถ้าคุณเป็นโรคร้ายคุณต้องยอมรับว่าความตายของคุณมันมาเร็วกว่าของคนอื่นแน่นอน มันทำให้ฉันเริ่มคิดวางแผน  ฉันคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหากฉันนอนอยู่บนเตียง...ใกล้ตายแต่ยังยิ้มได้เพราะไม่มีเรื่องใดเลยที่ฉันนึกถึงแล้วจะเสียใจ หรือเสียดาย ฉันคงจากไปอย่างหมดห่วง พร้อมสำหรับภพภูมิใหม่.... 

พร้อมๆกับการเริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิต ทัศนคติต่อโลกของตัวเอง ฉันเริ่มทำ must do before die ลิสต์ เรียงลำดับความสำคัญง่ายๆ ว่า 'หากพรุ่งนี้ต้องตายอันไหนด่วนที่สุด'  จดแล้วแปะไว้ที่โต๊ะทำงานให้เห็นชัดๆ ...นี่คือแผนรับมือกับความตายของเธอ วิมุกต์...

เมื่อตอนพ่อเสียชีวิต ฉันได้เห็นมากับตาตัวเองว่าคนที่ไม่พร้อมรับมือกับความตายทรมาณแค่ไหน เรื่องทางกายก็อย่างหนึ่ง แต่เรื่องทางใจดูจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนป่วยที่ต้องนอนแบ่บอยู่บนเตียง...เวลาในชีวิตกำลังจะหมด ...ในเมื่อไม่มีอะไรให้ร่างกายทำ ความคิดเลยทำงานแทน แล้วมันก็ทำเยอะเสียด้วย....ภาพชีวิตในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ฉายย้อนราวกับหนังวนซื้อตั๋วครั้งเดียวดูได้ทั้งวัน ....ผิดถูก ...ดีเลว ...ควรทำไม่ควรทำ ฉายวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น และมันจะเจ็บปวดมากหากชีวิตเรามีสิ่งที่ผิดมากกว่าถูก ....เลวมากกว่าดี ....ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำมากกว่าสิ่งที่ควรจะทำ...บางทีฉันแอบเห็นพ่อน้ำตาซึมเมื่อเห็นหน้าฉัน ถ้าฉันหายหน้าไปนานพ่อก็จะโทรมาคุย บ่นบ้าง คล้ายจะตัดพ้ออยู่บ่อยๆ  พ่อไม่กล้าพูดตรงๆว่าต้องการกำลังใจจากคนในครอบครัวมากแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาพ่อไม่เคยอยู่ให้กำัลังใจใครเช่นกัน ....แม้พ่อไม่เคยเอ่ยปากขอโทษตรงๆ แต่ลึกๆแล้ว ฉันรู้ว่าพ่อกำลังเสียใจต่อสิ่งที่ทำไว้กับครอบครัวเรา เหมือนคนที่เพิ่งตระหนักว่าเค้าได้ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญและมีคุณค่ากับชีวิตเค้าอย่างแท้จริง แต่เมื่อรู้มันก็สายไปเสียแล้ว มัีนไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาขอโทษเอาตอนนี้ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว มีแต่ความคิดและความทรงจำเท่านั้นแหละที่ยังคงทำงานไปเรื่อยๆ 

ฉันได้ตระหนักว่า ยามป่วยมันเหมือนเราโดนธรรมชาติจับขึงพรืด ไปไหนไม่ได้ ทำอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมชาติแกล้งให้เรามีเวลาเหลือเฟือที่จะอยู่กับตัวเองและคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา แต่ตอนร่างกายแข็งแรงดีเรากลับไม่มีเวลาจะคิด ชีวิตเราดูจะมีสิ่งอื่นมาดึงเวลาและความสนใจของเราไปจากตัวเองจนหมดสิ้น....มันเป็นตลกร้ายก็ตอนที่เวลาในชีวิตกำลังจะหมด เราดันอยากจะีมีเวลาทำสิ่งที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำมากมาย แต่หากย้่อนกลับไปนึกดูดีๆ ตอนที่เวลาเรายังเหลือเฟือ เรากลับใ้ช้มันไปกับสิ่งที่ไม่ควรทำ และเรื่องไม่ควรคิด อาทิเช่นนั่งเฝ้าหน้าเฟสบุ๊ค เช็คทวิตเตอร์ เพื่อดูว่ามีใครกดไลค์ กดเม้นท์ เมนชั่นอะไรถึงเราบ้าง จะได้ไปตอบเค้าซะหน่อย เค้าอัพอะไรก็ไปไลค์เค้าซะเค้าจะได้มาไลค์ให้เราบ้าง หากวันไหนไม่มีใครสนใจหรือว่างพอจะมานั่งไลค์ นั่งเม้นท์ให้เรา เราก็จะนอยด์ ราวกับชีวิตตัวเองไม่มีคุณค่าพอจะให้ใครมาเหลียวแล และพยายามคิดหาสิ่งใหม่ๆ มาอัพเดทเพื่อให้พวกเขาหันมาสนใจกันบ้าง....จะอยู่ที่ไหน เป็นอะไร มีอะไร และคิดอะไรอยู่ก็ต้องรีบอัพสเตตัสบอกแก่ชาวโลก ทำทั้งๆที่ไม่ต้องทำก็ได้ อัพเสร็จแล้วก็วนมานั่งเช็คเม้นท์ไลค์ใหม่อีกรอบ.....จนหมดวัน!    
...ถ้าลองคำนวณดูเ่ล่นๆว่าในหนึ่งวันเราใช้เวลาไปกับเรื่องเหล่านี้ไปกี่ชั่วโมง รวมแล้วอาทิตย์ละกี่วัน เดือนละกี่อาทิตย์ และปีละกี่เดือน รับรองว่าเราต้องตกใจกับตัวเ้ลขที่ได้.... ลองคิดเล่นๆต่อไปอีกว่า ถ้าเราเอาเวลาทั้งหมดนั่นมาทำสิ่งที่คิดว่าทำแล้วเราจะสบายใจได้ว่า เมื่อความตายมายืนยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีอะไรต้องเสียดายและเสียใจอีกต่อไป....มันคงดีไม่น้อยนะว่ามั้ย? แต่ก็นั่นล่ะ...อุปมาก็เหมือนกับความตาย พูดถึงเฉยๆหน่ะมันง่าย พอเจอจริงๆก็ไปไม่เป็นกันทุกคน  คิดจะเลิกเล่นพวกโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คเหล่านี้ เอาเข้าจริงๆ มันไม่ง่ายเลยนะ

ฉันเคยทำการทดลองกับตัวเองมาแล้วเรื่องการพยายามจะเลิกเล่น IG, เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์, พาร์ธฯลฯ แรกๆบอกตรงๆเลยว่ามันเหงาจับใจ เพิ่งรู้ว่าการอยู่คนเดียวไม่มีใครเหลียวแลในโลกโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คมันเหงายิ่งกว่าการนั่งอยู่ที่บ้านคนเดียวจริงๆเสียอีก  มิตรภาพในโลกไซเบอร์นั้นเหือดแห้งได้รวดเร็วราวกับน้ำค้างบนยอดหญ้า เพราะเพียงแค่เราเลิกอัพ เลิกไลค์ เลิกเม้นท์ โลกทั้งใบก็พร้อมจะหันหลังให้เราอย่างสิ้นเชิง....เฟรนด์ที่ว่ามีอยู่เยอะก็พากันหายหน้าหายตาไปจนหมด ดั่งว่ามิตรภาพเหมือนผักปลาที่ซื้อขายกันด้วยการแลกไลค์แลกเม้นท์ เป็นกฎการแลกเปลี่ยนง่ายๆในโลกออนไลน์ ที่ทำใจได้ยากในโลกแห่งความเป็นจริง คนจริง หัวใจจริง มันเจ็บจริงๆนะ...
....ในบรรดาโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คทั้งหมดฉันต้องขอบอกเลยว่าการเลิกเล่นเฟสบุ๊คยากที่สุด เลิกยาที่ถ้ำกระบอกยังจะชิลกว่าในความรู้สึกฉัน เพราะที่นั่นคุณยังมีเพื่อนช่วยกันอ้วก ลูบหลังตบไหล่เป็นกำลังใจว่าเรากำลังทำสิ่งดีๆด้วยการเลิกยาไปด้วยกัน  แต่เลิกเฟสบุ๊คคุณต้องทำมันตัวคนเดียว โนเฟรนด์ โนซัพพอร์ท เพราะเพื่อนคุณทั้งหมดอยู่ในเฟสบุ๊ค! การหันหลังให้มันไม่ต่างอะไรกับการหันหลังให้โลก ...มันต้องใช้กำลังใจที่เข้มแข็งอย่างมากที่จะต้องยืนอยู่คนเดียวให้ได้ท่ามกลางกระแสที่รุนแรงนี้

...แต่มันจะคุ้มค่าถ้าคุณทำได้ เพราะมันทำให้เราแยกแยะสิ่งที่มีสาระออกจากสิ่งไม่มีสาระได้ เมื่อยืนหยัดมาได้ระยะหนึ่งฉันค่อยๆเรียนรู้ว่านิยามของคำว่าเพื่อนในสังคมออนไลน์ไม่คล้ายก้ับโลกจริงสักเท่าไร ที่นี่เราได้เป็นเพื่อนกันบางทีก็เพราะรูปโปรไฟล์ที่สวยเกินจริง ไม่ใช่เพราะนิสัยใจคอที่เข้ากันได้ เพื่อนสนิทของเราคือคนที่เรากับเค้าต่างกดไลค์และเม้นท์กันบ่อยที่สุด ไม่ใช่เพราะเราจริงใจต่อกันที่สุด ถ้าเราต้องการเป็นที่รักของเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องลำบากทำอะไรเพื่อกันให้มากมายเพียงแค่ขยันแจกไลค์แจกเม้นท์ให้ทั่วๆ และเยอะๆเท่านั้นเมื่อเราให้ความสำคัญกับไลค์และการแสดงความคิดเห็นมากกว่าน้ำจิตน้ำใจที่มีให้กันจริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เพื่อนเยอะๆในเฟสบุ๊คมีเท่าไหร่ก็ไม่ได้ทำให้อบอุ่นใจได้เท่าเพื่อนไม่กี่คนในโลกแห่งความเป็นจริง
  
จริงๆแล้ว ในชีวิตของเรามีคนอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เราควรแคร์และอัพเดทสถานะด้วยให้มากและบ่อยที่สุด นั่นก็คือคนรัก คนในครอบครัวและเพื่อนสนิท  เพราะท้ายที่สุดแล้วคนกลุ่มนี้ต่างหากที่จะยืนอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้ ไม่ว่าชีวิตเราจะตกต่ำหรือพุ่งสูง พวกเขาจะยืนอยู่ข้างเตียงเราในวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่ใช่คนทั้งโลกที่เราพยายามจะเรียกร้องให้เค้ามาสนใจ  

....หากเรายังให้ความสำคัญผิดคน ใช้เวลาในชีวิตผิดที่ผิดทางอยู่แบบนี้คงไม่แคล้วต้องมานั่งเสียใจเมื่อถึงวันที่เวลาไม่มีจะให้ไร้สาระแล้ว

...มีบางคนพูดไว้ว่า เมื่อเห็นความตายจะเห็นความจริง เมื่อเห็นความจริงเราจะแยกแยะสิ่งที่ไม่เป็นสาระออกจากสิ่งที่เป็นสาระได้ และรู้ว่าอะไรดีต่อชีวิตเราจริงๆ เหมือนคนที่เพิ่ง 'ตื่น' จากหลัีบใหล  เป็นผู้เลือก เป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำถูกโลกเหวี่ยงไปทางนั้นที ทางนี้ทีแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเอง...

คนบางคนอาจคิดเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องรอให้ความตายมาเคาะประตูบ้าน เรียกว่าเป็นผู้มีปัญญา แต่หลายๆคนรวมทั้งฉัน ต้องให้ชะตาชีวิตถีบสักพลั่กสองพลั่กก่อนจึงได้สติ ....ฉันคิดแผนรับมือกับความตายขึ้นมาเพราะรู้สึกว่า  หากโลกเหวี่ยงความตายมาให้ฉันเร็วกว่าชาวบ้านเขา งั้นฉันขอแพลนเองว่าจะใช้เวลาที่เหลือให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อคนรอบข้างและต่อโลกยังไง ฉากสุดท้ายของฉันจะได้ไม่เศร้า ไม่เสียใจ และไม่เสียดาย...ฉันนึกภาพตัวเองยิ้มเก๋ๆ กระชับเสื้อโค้ทตัวงามแล้วลากกระเป๋าที่เต็มไปด้วยบุญกุศลที่สั่งสมไว้ กับความทรงจำดีๆในชีวิต ด้วยใบหน้าที่เบิกบาน ปิดม่านชีวิตตัวเอง แล้วเดินทางไปภพหน้าแบบชิลๆ....


แปลกแต่จริงฉันพบว่า เมื่อเราทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต เรากลับเป็นผู้ที่ 'ตื่น' ขึ้นมามีชีวิตอย่างแท้จริงในทุกๆวัน...






ความคิดเห็น

moomin กล่าวว่า
คิดถึงพี่แหม่มบ่อยๆค่า. แวะมาอ่าน. พิมพ์อะไรไม่มากแต่เห็นด้วยกับพี่แหม่มค่ะ.
เอ๋ก็จะเริ่มเตือนตัวเองให้บ่อยขึ้น. ทำในสิ่งที่มีความสำคัญ. อะไรไม่จำเป็นก็ตัดๆไป.

คิดถึงงงงงง.
wimukt กล่าวว่า
คิดถึงเ่หมือนกันจ้าา ^_^
Unknown กล่าวว่า
ขอบคุณมากๆค่ะพี่แหม่ม ขอบคุณจริงๆ
ปุ๋มใช้เวลาไปกับอะไรก็ไม่รู้....มีเหตุผลดีๆบอกตัวเองมากๆมาย ใช่มันก็มีข้อดี แต่ปุ๋มว่ามันมากไปแล้ว ณ ตอนนี้
ขอบคุณมากๆนะคะ
wimukt กล่าวว่า
ค่อยๆทำจ้ะ มันไม่ง่ายนะแต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความพยายาม ที่สำคัญหาคนที่เข้าใจเราไว้คุยด้วยบ่อยๆ เป็นกำลังใจให้กัน ^_^

บทความที่ได้รับความนิยม