Accept what is...let go of what was and have a faith of what will....



ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฉัน เคยเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งที่ชัีวิตได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน ล้วนมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์มาบีบบังคับให้ถึงจุดที่ต้องทำอะไรสักอย่าง ตกที่นั่งลำบาก คล้ายๆจะเป็นหรือตาย จะอยู่หรือจะไป(หรืออย่างน้อยก็ในความรู้สึกของฉัน) แต่พอข้ามผ่านช่วงนั้นมาได้ ชีวิตฉันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และทุกครั้งที่ผ่านมามันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ฉันคิดเองว่ามันคล้ายๆกับธรรมชาติกำลังจะโยนบางอย่างมาให้ หรือกำลังนำเราไปสู่บางสิ่งบางอย่างที่ดีขึ้น แต่ก่อนจะไปยังจุดนั้นเค้าก็โยนแบบทดสอบมาก่อนเพื่อดูว่าเราควรค่ากับสิ่งนั้นมั้ย.....

ซึ่งมันยากนะ หากเรากำลังตกอับลำบาก ปัญหารุมเร้า มองไม่เห็นอนาคตไม่เห็นหนทางจะแก้ไข มันยากที่จะคิดให้ออกและมีศรัทธาว่าสถานการณ์แบบนี้จะนำเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างไร....

หากใครไม่เข้าใจให้นึกภาพคนๆหนึ่งที่เดินอยู่ท่ามกลางที่ดินแห้งแล้งทุรกันดารสุดลูกหูลูกตา นานๆจะเจอร่มไม้หรือแหล่งน้ำเล็กๆสักแห่งให้พอได้พักและมีความหวังในชีวิตอยู่บ้าง แต่ไม่พอให้ปักหลักสุขกายสบายใจ เค้าเดินไปเรื่อยๆเพื่อหาสิ่งที่ดีกว่านี้ จนไปสุดที่ถนนไฮด์เวย์ เอาสักแปดเลนส์แระกัน ที่เต็มไปด้วยรถที่วิ่งเร็วมาก และแน่นอนถนนไฮด์เวย์ไม่มีทางม้าลาย เค้าพยายามมองไปอีกฝั่งเพื่อจะดูให้เห็นว่ามันคุ้มค่าแก่การเสี่ยงข้ามถนนเส้นนี้รึเปล่า ฝั่งตรงข้ามอาจมีทุ่งหญ้าเขียวขจี เต็มไปด้วยสิ่งดีๆรอเค้าอยู่ หรือทุกสิ่งทุกอย่างมันอาจเลวร้ายกว่าฝั่งนี้ก็เป็นได้ทั้งนั้น ด้วยวิสัยทัศน์ที่ไม่ดีและรถราที่วิ่งเร็วจนไม่อาจแน่ใจอะไรได้ ...ในขณะที่เมื่อคิดจะหันหลังกลับ บนเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมามันก็ไม่มีอะไรให้หวังได้อีกแล้ว

......  สิ่งที่เค้าต้องทำคือต้องตัดสินใจว่าจะเสี่ยงไปต่อหรือตัดใจหันหลังกลับ..... 

ฉันไม่อาจบอกได้ว่าหากตัดสินใจหันหลังกลับจะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร  เพราะที่ผ่านมาฉันไม่เคยตัดสินใจหันหลังกลับเลยสักครั้งเดียว ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไรแต่ฉันก็ตัดสินใจเดินไปข้างหน้าทุกครั้ง  บางคนอาจบอกว่าไม่รอบคอบ เพราะอย่างน้อยถ้าคุณยังอยู่ฝั่งนี้โอกาสตายก็น้อยกว่าเห็นๆ  อีกอย่างคุณรู้อยู่แล้วว่าฝั่งนี้มีอะไร มันไม่มีอะไรแย่ไปกว่าที่คุณเคยเจอแน่ๆแต่ฝั่งโน้นคุณไม่รู้เลยนะ....ถ้าข้ามไปแล้วมันแย่กว่าเดิมล่ะ? 

คำตอบมันก็อาจเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ใครล่ะจะตอบได้?

ครั้งแรกมันเกิดขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วฉันตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่มั่นคง ออกมาหาอาชีพที่เป็นนายตัวเอง ได้ใช้ชีวิตอิสระ ชีวิตที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับการแหกขี้ตาไปทำงานให้ทันตอนเช้า แสร้งทำเป็นนั่งทำงานอย่างแข๊งขันเวลานายอยู่ แอบกินขนม คุยแชท เล่นเน็ตลับหลังนาย กลางวันกินข้าวเสร็จเดินช้อปปิ้งฆ่าเวลา พยายามกลับเข้าออฟฟิศให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วดูไม่น่าเกลียด  บางวันไม่มีงานอะไรเป็นแก่นสารสาระแต่ก็ยังต้องนั่งอยู่ให้ครบ 8 ชั่วโมงเพราะเค้าจ้างมา เลิกงานก็ลากสังขารฝ่าการจราจรกลับมาบ้านในตอนเย็น เสาร์-อาทิตย์เหมือนวันปล่อยผี กินเที่ยวเสพย์และ วิ่งหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุดเพื่อชดเชยใอ้ 5 วันนั้น หารู้ไม่ว่าตัวเองเหมือนภาชนะที่มีรูรั่วไม่ว่าจะเติมอะไรลงไปเท่าไรมันก็ไหลออกมาไม่เคยเต็มสักที เป็นมนุษย์เงินเดินที่รู้สึกแย่มากเมื่อถึงเช้าวันจันทร์และดีใจมากๆเมื่อถึงวันสิ้นเดือนหรือหยุดยาว แต่ถึงกระนั้นก็ยังวนเวียนใช้ชีวิตแบบนี้อยู่นาน อาจเป็นเพราะเมื่อมองผ่านๆ ถึงมันจะเป็นชีวิตน่าเบื่อสักหน่อยแต่ก็แสนสบาย ยิ่งถ้าอยู่บริษัทใหญ่ๆ เหมือนเค้าจ้างมานั่งเล่นเสียมากกว่า สิ้นเดือนก็มีเงินเดือนเข้าถ้าไม่ใช้มือเติบเกินตัวนัก เงินก็ไม่เคยขาดมือ ขาดอย่างเดียวคือความนับถือตัวเองที่นับวันจะลดน้อยถอยลงทุกที.....

ลองคิดถึงภาพที่ฉันอธิบายไปก่อนหน้านี้สิ นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันตัดสินใจข้ามถนนไฮด์เวย์แปดเลนส์นั้นมาด้วยการลาออก แต่ต้องบอกว่ามันไม่ง่ายและไม่สวยงามเหมือนในนิยายที่ลงท้ายด้วย... happy ever after หรอก ...ฉันล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน กว่าที่จะตั้งหลักได้ ฉันได้เป็นอิสระสมใจ มีอาชีพเป็นของตัวเองมีรายได้พอกิน มันเหนื่อยกว่าอยู่บริษัทเป็นลูกจ้างเค้า เพราะนี่คือธุรกิจเรา เราต้องใส่ใจทำเองทุกๆเรื่อง เวลาทำงานจะมานั่งเล่นฆ่าเวลาไปวันๆไม่ได้ แต่เราได้อิสระและเวลาในชีวิตตัวเองเพิ่มมากขึ้น ได้ความภาคภูมิใจและความนับถือตัวเองกลับคืนมา ได้รู้ว่าคนตัวเล็กๆอย่างเราก็มีศักยภาพที่จะทำอะไรๆได้อีกตั้งหลายอย่างไม่ใช่แค่เป็นไก่ที่เค้าเลี้ยงไว้บนสายพาน รอเค้าเอาอาหารมาป้อนและไหลลอยไปสู่จุดเชือดอย่างที่สังคมกำหนดไว้....
... เอาแค่ได้ทำสิ่งที่ฝันไว้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เป็นคนที่กุมบังเหียนชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง สำหรับฉันชีวิตนี้มันก็คุ้มแล้ว....

แต่อย่างที่บอกมีข้อดีก็มีข้อเสีย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำหรือทำอะไรบนโลกใบนี้ก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ ต่างกันแค่รูปแบบเท่านั้นเอง ...


พวก living on the edge อย่างฉัน เวลาเจอช่วงเวลาลำบากบ้าง มีปัญหาบ้างหลังจากตัดสินใจลาออก ยอมรับว่ามีบางครั้งที่คิดเปรียบเทียบและมองย้อนกลับไปว่า ถ้าตอนนี้เรายังทำงานอยู่ ชีวิตเราอาจจะสบายและดีกว่านี้รึเปล่า?   นี่ฉันตัดสินใจผิดรึเปล่า? เป็นคำถามที่ก้องอยู่ในหูตลอดเวลา...จะดังมากดังน้อยขึ้นอยู่กับความหนักหนาของปัญหาที่เจอ แต่เมื่อตั้งสติและคิดด้วยใจที่เป็นกลางคำตอบที่ได้คือ ทุกเรื่องมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง มันไม่มีอะไรดีกว่าอะไรแบบขาดลอย มันก็เป็นแค่ทางเลือกในชีวิตของเรา  มันขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถมีชีวิตอยู่กับข้อเสียของทางเลือกไหนแล้วทุกข์น้อยกว่าได้ก็เท่านั้นเอง....
....มีึคนเคยบอกว่าความสุขคือความทุกข์ที่พอดีสำหรับทน....
ซึ่งก็น่าจะจริง...

ฉันเคยคุยกับคนหลายคนที่ลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจของตัวเองก็จะเจอปัญหาคล้ายๆกัน มีพี่คนนึงเปิดร้านขายก๊วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่งแถวบ้าน ดูจากหน้าตาผิวพรรณและการพูดคุยแล้วเป็นคนมีการศึกษา ช่วงสงกรานต์ลูกจ้างลางานกลับบ้านแล้วไม่ยอมกลับมาทำงาน แกเหนื่อยที่ต้องทำเองคนเดียวทุกอย่างลูกจ้างหายาก เลยมาบ่นให้ลูกค้าอย่างเราฟัง เล่าว่าเคยทำงานอยู่บริษัทใหญ่แต่เบื่ออยากมีธุรกิจเล็กๆของตัวเองเลยลาออก มาลองทำดู ถามว่าตรงนี้ดีมั้ย แกว่าดีตรงได้เป็นอิสระแต่มันเหนื่อย ร้อน บางทีมันมีเรื่องต้องคิดวางแผนเยอะ เรื่องเตรียมของขาย กำไรบ้างขาดทุนบ้างเป็นบางวัน และรายได้ที่ไม่แน่นอน แถมยังเจอปัญหาแรงงานคือลูกจ้างหายากอีก "บางทีพี่ก็อดคิดถึงชีวิตการนั่งทำงานสบายๆในห้องแอร์ไม่ต้องคิดอะไรและได้เงินเดือนที่แน่นอน ไม่ได้" แกว่า....ฉันเองก็เคยมีโมเม้นท์แบบนี้อยู่บ่อยๆ  อาจไม่มากเท่าพี่คนนี้ เพราะการเปิดร้านขายข้าวแกงหรือร้านอาหารมันเหนื่อยกว่ามาก ต้องตื่นแต่ตี 4 ตี 5 มาซื้อของทำของ เปิดร้านขาย วันไหนฝนตกลูกค้าไม่มีก็ขาดทุนไปตามระเบียบ ธุรกิจที่ต้องขึ้นกับฟ้าฝนที่คาดเดาไม่ได้ และคู่แข่งที่เยอะมากๆ เพราะทุกหนทุกแห่งก็มีร้านขายข้าว ขายก๊วยเตี๋ยว ขายอาหารอื่นๆที่ผู้บริโภคสามารถเลือกกินได้เดือนหนึ่งไม่ซ้ำร้านกันแม้แต่วันเดียวก็ยังได้แบบนี้ มันค่อนข้างเสี่ยง คนที่โดดลงมาทำตรงนี้ ควรต้องโดดเด่นในฝีมือจริงๆจึงจะไปได้ดี ถ้าแค่ทำเพราะมันง่ายและไม่มีทางเลือกอื่นๆ ก็อาจต้องยอมรับว่าคิดน้อยและประมาทเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วถ้ายอมรับกับรายได้ที่น้อยและไม่แน่นอนต่างๆได้ก็อาจไม่ทุกข์...

... แต่คนเรามักไม่เป็นอย่างนั้น คนเราชอบทุกข์ในเหตุที่ตัวเองทำไว้ไม่ดี และอยากได้มากกว่าที่ตัวเองลงมือทำเสมอ....

-อยากมีอิสระ ลาออกปุ๊บก็ได้อิสระแล้ว แต่ก็หวังว่ามันจะสบายด้วย 
-อยากมีธุรกิจของตัวเอง มาเปิดร้านอะไรสักอย่างก็ได้มีธุรกิจของตัวเองทันทีแล้ว  แต่ก็หวังว่ามันจะใหญ่โตประสบความสำเร็จทำเงินเป็นกอบเป็นกำด้วย

ลืมฉุกคิดไปว่า คนที่เค้าออกมาทำแล้วประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐี มีรายการโทรทัศน์เชิญไปเล่าชีวิตเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครฟังนั้น พวกเค้าต่างทำงานหนักและทุ่มเทมากกว่าที่เราทำมากมาย ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงดีมากมายตามไปด้วย  แต่เราชอบจำแต่ภาพความสำเร็จของเค้า ทำแค่ลาออกมาแล้วก็นั่งฝันว่ามันจะดีเหมือนกัน พอมันไม่ดีเหมือนอย่างคิด ก็มานั่งเสียใจว่า ไม่น่าออกมาเลย อยู่บริษัทเหมือนเดิมก็ดีแล้ว ไม่ลำบากด้วย.....



มีประโยคของฝรั่งคนนึงพูดไว้ว่า "sometime you've got to jump off the cliff and build your wings on the way down" ฉันเห็นด้วยแต่แอบคิดเพิ่มว่าบางทีเราอาจต้องเลือกหน้าผาที่จะโดดให้ดีก่อนด้วย.....เพราะคงไม่มีใครอยากโดดหน้าผาหลายครั้งในชีวิต เพราะไม่แน่ว่าเราอาจจะตายตั้งแต่หน้าผาแรกแล้วก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะมี second chance กันทุกคน เพราะฉนั้นจะโดดก็ไม่ว่า แต่ควรมั่นใจก่อนว่ามันใช่สิ่งที่เราต้องการมั้ย...

....และไม่ว่าจะเพราะสถานการณ์บังคับ หรือสมัครใจโดดเองด้วยใจรัก เมื่อเลือกหน้าผาได้แล้ว จากประสบการณ์ของฉัน มันมีแค่สองสิ่งที่คุณต้องใช้ในการโดด คือสติ และศรัทธา......สติจะช่วยให้เรารู้ว่าเราควรทำอะไรจริงๆ หลังจากโดดหน้าผาลงไปแล้ว...เมื่อรู้แล้วก็จงทำมันซะ จากนั้นที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศรัทธา....

ซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งหลังๆที่ฉันเจอ ศรัทธามีบทบาทมาก .....

จุดเปลี่ยนครั้งที่สองคือ เมื่อทำธุรกิจไปสักพัก ฉันต้องพึ่งพาแรงงานในการผลิตงาน ตอนนั้นมีลูกจ้าง 5 คน ซึ่งมีปัญหาประสาลูกจ้างตลอด ตอนนั้นธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่เป็นงานโหล ขายราคาถูกเน้นการผลิตเยอะ  พอมาเจอปัญหาคนงานรุมเร้า หยุดบ้าง ลาบ้าง งานด้อยคุณภาพบ้างก็เริ่มทดท้อ รู้สึกว่าเดินทางมาถึงทางตัน รู้สึกว่าธุรกิจของเรามันมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากเกินไป ที่สำคัญเราไม่มีความสุขในการทำ...มืดบอดไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร วิตกกังวลไปว่าถ้าแก้ปัญหาโดยการตัดแรงงานออกจะกระทบผลผลิตซึ่งหมายถึงการกระทบรายได้ตามมา...

...ตอนนั้นสินค้าขายดีแต่เป็นการขายดีที่เหนื่อยหนักเพราะต้องดีลกับปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องการออกแบบดีไซน์สินค้าที่ต้องคิดแบบใหม่อาทิตย์ละ 4-5 แบบ และต้องผลิตให้ได้จำนวนมากๆ เพราะกำไรต่อชิ้นมันน้อยต้องเอาปริมาณมาช่วย ต้องเร่งงานจนวินาทีสุดท้ายอาทิตย์ต่ออาทิตย์เพื่อนำงานไปขายในวันสุดสัปดาห์ ...ทำจนมาถึงจุดที่ไม่ไหวแล้วด้วยปัญหาลูกจ้างเป็นหลัก ตอนนั้นพอดีมีกระแสสินค้าแบบใหม่เข้ามาซึ่งไม่ใช่ทางของเราเลยและเราไม่เคยทำ มีพี่ที่รู้จักแนะนำและยินดีรับสินค้าที่ฉันผลิตจำนวนหนึ่ง หากฉันทำได้ดีก็จะรับมากขึ้น ฉันตัดสินใจลองเสี่ยงทำดู งานมีดีเทลค่อนข้างมาก ใช้วัตถุดิบราคาสูง ใช้เวลาในการผลิตนานกว่า ฝีมือต้องปราณีตเรียบร้อย แต่ราคาขายต่อหน่วยก็ได้มากกว่าด้วย มันเป็นของใหม่ ไม่มีใครแน่ใจได้ว่ามันจะยั่งยืนหรือไปได้ไกลแค่ไหน แต่ด้วยปัญหารุมเร้า สถานการณ์บีบคั้นฉันเลยตัดสินใจเดินหน้า ตัดใจจากสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุขมากที่สุดออกไป...แม้ว่ามันจะกระทบสิ่งที่เราต้องการที่สุดคือรายได้ก็ตาม... 
....ฉันตัดแรงงงานที่มีปัญหาออกเหลือแค่ 3 คนที่มีปัญหาน้อยที่สุด เริ่มคิดงานป้อน ฝึกทำงานให้ปราณีตดู ลองผิดลองถูกทำไปเรื่อยๆ  เป็นการข้ามถนนไฮด์เวย์แปดเลนส์ในตอนกลางคืนเลยก็ว่าได้ในตอนนั้น  แต่ฉันก็ข้ามมาได้ ล้มลุกคลุกคลานแต่ไม่ถึงตาย จนมาพบว่ามันนำฉันไปสู่เส้นทางใหม่ที่ดีกว่าเดิม สินค้าใหม่ตลาดไปได้ดี ขายได้ราคาสูงในขณะที่ทำงานน้อยลงแต่ได้เงินมากกว่าเดิมและมีความทุกข์จากปัญหาแรงงานน้อยลง....ฉันมีเพื่อนมากขึ้น ได้รู้จักกับคนหลายระดับเนื่องจากมี passion ในสิ่งเดียวกัน ได้เรียนรู้ความหลากหลาย ได้เปิดหูเปิดตาเห็นผลงานชั้นสูงกว่าเราทำให้นำมาพัฒนางานตัวเองได้ด้วย ...

3-4ปีผ่านมา จุดเปลี่ยนครั้งที่สาม ปัญหาเศรษฐกิจซบเซา เนื่องจากเป็นสินค้าแฟชั่น พอหมดกระแสนิยม ยอดจับจ่ายสินค้าก็ลดลงจนพี่ที่เคยรับสินค้ากันมาขอลดจำนวนสินค้าลง  ซึ่งในตอนนั้นการส่งสินค้าให้เค้ามันเป็นรายได้หลักของฉันเลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ฉันเปิดร้านออนไลน์ขายสินค้าของตัวเองในตลาดต่างประเทศไว้บ้างใน etsy แต่ไม่ได้จริงจังอะไร แค่นำสินค้าที่มีสต๊อคเหลือๆจากส่งในประเทศเอาไปลงขายนิดๆหน่อยๆ  มีรายได้เป็นเงิน paypal เล็กๆน้อยๆก็เอามาซื้อผ้าจากต่างประเทศ หรือซื้อของเล่นของใช้ให้ตัวเองสนุกๆเท่านั้น  การโดนลดจำนวนสินค้าในประเทศเหมือนฟ้าฝ่ากลางกบาลเลยก็ว่าได้...  
....ความรู้สึกตอนนั้นมันเฟล เหมือนคนอกหักถูกบอกเลิก...ไม่มีทางเลือกอะไรเหลือไว้ให้นอกจากทำใจยอมรับ...และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้จนกว่าจะคิดอะไรที่ดีกว่านี้ออก....ตอนนั้นไม่เคยคิดและไม่เคยรู้เลยว่า เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นนี้ จะนำเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่ามากได้อย่างไร.... 

จริงๆ หากต้องการรักษาสถานภาพทางการเงินให้คงเดิมไว้ ก็เพียงแค่หาเจ้าส่งเจ้าอื่นมารับของในจำนวนที่ถูกปฏิเสธจากพี่เจ้าประจำ หรือขายเองซะเลยก็ไม่น่าเกลียดอะไร เพราะสัญญาใจที่เคยมีไว้ต่อพี่คนเดิมก็หมดความชอบธรรมลงตั้งแต่เค้าขอลดจำนวนการซื้อสินค้าของเราแล้ว ....หากฉันถือเอาตามมาตรฐานของสังคมก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรมันก็มีเหตุผลยอมรับได้...

.....แต่มันก็เหมือนคนกินเหล้า กินเหล้ามันไม่ผิดกฎหมายแต่มันผิดศีล ... ถึงแม้จะยอมรับว่าเสียใจจากการถูกปฏิเสธและสูญเสียรายได้หลัก แต่ที่ฉันมาได้ทุกวันนี้เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากพี่ผู้มีพระคุณคนนี้ในวันนั้น หากเค้าไม่แนะนำ ไม่รับงานฉันมาขายตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้ฉันก็อาจจะไม่ได้มายืนจุดนี้....
....บุญคุณคนเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรลืม กฎเกณฑ์และค่านิยมทางสังคมเป็นเรื่องนอกตัว แต่จิตใจเป็นเรื่องของเรา เป็นสิ่งที่เราต้องอยู่กับมันทุกเวลานาที ฉันเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วไม่ว่าจะคิดขึ้นมาเมื่อใดก็สบายใจทุกครั้งดีกว่าที่จะทำตามมาตรฐานสังคมแต่เมื่อคิดขึ้นมาทีไรก็รู้สึกผิดทุกที ...หลังจากตรึกตรองดีแล้วฉันก็ตัดสินใจเว้นตลาดในประเทศไว้เหมือนเดิม คือให้พี่เค้ามีพื้นที่ปล่อยสินค้าแต่เพียงผู้เดียว..... เป็นการผูกขาดกันด้วยบุญคุณไม่ใช่ปริมาณสินค้าที่ซื้อ...แล้วตัดใจเดินหน้าลุยขายงานของตัวเองในตลาดต่างประเทศ คิดแค่ว่าเอาไงเอากัน ลองดูสักตั้ง!   พัฒนางานตัวเอง ออกแบบสินค้ามาลองตลาดเพื่อดูว่าคนซื้อชอบสไตล์ไหนอย่างไร แบบไหนทำออกมาแล้วขายดี อันไหนที่เราว่าสวยแต่ขายไม่ค่อยออก อาจเป็นเพราะเทรนด์แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ค่อยๆเรียนรู้ไปขายไป ปรับไปเรื่อยๆ

จากการขายที่มีรายได้เล็กๆน้อยๆพอแค่เอามาซื้อของเล่น  develop เป็นการขายที่เป็นรายได้หลักแทนรายได้จากการขายส่งในประเทศไปเลย ซึ่งมันไม่ใช่แค่เพียงพอ แต่มากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว และมีอนาคตกว่าเพราะเป็นร้านของเราเอง ทำเองขายเองไม่ต้องผ่านใคร....ทีนี้จะดีไม่ดีอยู่ที่สินค้าและบริการของเราแล้วไม่ขึ้นกับคนอื่น...ปัจจัยที่ต้องใช้ในการจะประสบความสำเร็จมันน้อยลง มันเหลือปัจจัยไม่กี่อย่างที่เกี่ยวข้อง และมันก็เป็นปัจจัยที่เราเราควบคุมได้เสียด้วยเลยทำให้เราทำงานง่ายขึ้น มุ่งไปสู่เป้าหมายได้ไม่ยาก...
....มันเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตฉันเลยก็ว่าได้ เหมือนเดินอยู่กลางหมอกออกมาเจอฟ้าใสๆ ถ้าตอนนั้นไม่เดินออกมา ตอนนี้คงไม่เจอทิวทัศน์งดงามขนาดนี้....


ปัจจุบัน เกือบสองปีจากจุดเปลี่ยนครั้งที่สาม วันนี้ฉันอาจกำลังก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง.... 

.....ช่างฝีมือคนสุดท้ายที่ทำงานด้วยกันมาเหมือนเป็นช่างคู่บุญ เค้าแก่ลงและบางทีเค้าอาจเริ่มไม่มีความสุขกับการนั่งเย็บผ้าอีกแล้ว ประสาคนแก่ที่ปวดหลังปวดไหล่ และสายตาไม่ดี งานผลิตเริ่มถดถอย งานใหม่ออกบ้างไม่ออกบ้างตามอารมณ์ช่าง วันนี้ปัญหาไม่ใช่เศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อดีมากขึ้นเรื่อยๆ มีลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่มาไม่ขาดสายด้วยเหตุที่ว่ามันเป็น global ประเทศนี้เศรษฐกิจไม่ดีก็มีประเทศอื่นมาเสริม ตลาดมันกว้างมาก แต่ปัญหาคือการผลิตที่ไม่ทัน ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือมันเป็นเรื่องการออกแบบดีไซน์ที่ฉันรับผิดชอบด้วย....
.... เกือบสิบปีแล้วที่ฉันทำงานออกแบบตัดเย็บชุดตุ๊กตา แทบจะบอกได้ว่าไม่เคยมีแพทเทิร์นเสื้อผ้าแบบไหนที่ฉันยังไม่เคยทำ ณ จุดนี้ทำมาแล้วแทบทุกแบบจนมันชักจะตันๆเรื่องแบบใหม่ๆ เราทำงานมานาน งานเราก็ develop ขึ้นตามตัวเรา แบบที่เคยทำแล้วก็ชักจะไม่อยากทำเพราะเราเบื่อและคิดแทนว่าลูกค้าน่าจะเบื่อด้วย เวลาจะออกแบบอะไรแต่ละทีก็คิดแล้วคิดอีก พยายามคิดเพิ่มหานู่นนี่มาใส่เพื่อให้มันออกมาดูดีที่สุด คุ้มค่าที่สุดในแง่ของลูกค้าที่ซื้อไป ...กลายเป็นว่าแค่พอใช้ได้มันก็ไม่พอเสียแล้ว มันต้องดีที่สุด ....จนหลังๆ ชักไม่แน่ใจว่ามันเป็นตัณหาหรือฉันทะกันแน่ที่ผลักดันอยู่ข้างใน .....พอเงื่อนไขในการคิดงานมันเยอะ งานมันจะเริ่มไม่ออก ประกอบกับช่างเย็บก็งอแงมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงหลังฉันต้องมานั่งเย็บงานเอง ทำเองทุกขั้นตอน ยอมรับว่าหนักและเหนื่อยขึ้นแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร...  แค่รู้สึกว่าสัญญาณทุกอย่างมันบอกว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง 

.....ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะรับมือกับจุดเปลี่ยนของตัวเองแบบทุกข์และฟูมฟายให้น้อยที่สุด...

....ฉันเคยคิดเปรียบเทียบเล่นๆว่า ชีวิตของคนเราก็เหมือนเปลือกโลก ที่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งก็ต้องมีการขยับปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ปัจจุบัน และเวลาเปลือกโลกขยับ หายนะจะบังเกิดแก่มนุษย์ตัวเล็กๆในบริเวณนั้นอย่างมากมายมหาศาล มีซึนามิ มีแผ่นดินไหว มีการล้มตาย พลัดพราก ที่ๆเคยมีแผ่นดินอยู่จมหายไปในทะเล ที่ๆเคยเป็นทะเลกลับมีแผ่นดินผุดขึ้นมาแทน โลกไม่ได้เลือกว่าจะยุบตรงไหนผุดตรงไหนตามความชอบ หรือลักษณะการปกครองประเทศของใคร แต่จะยุบจะโผล่ตามความเหมาะสมแก่สภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นๆ เพื่อรักษาสมดุลย์ของโลกเอง.....ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน เมื่อเดินทางมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยน มันจะเกิดความทุกข์ ความยากลำบากจนแทบจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติสุขในวิถีแบบเดิมๆได้  บางสิ่งบางอย่างบอกเราว่าเราต้องเปลี่ยน  ธรรมชาติบอกว่าเราต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เพื่อรักษาสมดุลย์ในชีวิตของเราเอง....การทำในสิ่งที่ตัวเองรักสิ่งหนึ่งที่ต้องใช้อย่างมากคือความอดทน และมุ่งมั่น มันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้หลายครั้งในระหว่างทาง แต่ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพื่อให้เราเลิกทำในสิ่งที่เรารัก หากแต่มันคือบททดสอบที่จะพิสูจน์ว่าเรารักมันจริงๆหรือเปล่า? ถ้าเรารักมันจริงๆ ก็อย่าเปลี่ยนใจจากสิ่งที่รัก แต่ให้เปลี่ยนวิธีและประยุกต์ให้มากขึ้น.... 
.....การสู้แล้วแพ้มันเป็นเรื่องชั่วคราว แต่การไม่สู้ต่อทำให้มันกลายเป็นเรื่องถาวร....
....สู้แล้วแพ้ก็สู้ใหม่ ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ใหม่สิ่งที่ต้องทำคือเปลี่ยนวิธีการใหม่ ทำแบบเดิมผลลัพธ์ที่ได้จะต่างจากเดิมได้อย่างไร? 

...ความจริงที่ต้องตระหนักอีกอย่างคือ ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อเรายอมรับได้อย่างนี้ เราก็ทุกข์น้อยลงทันที...  

....ฉันผ่านจุดเปลี่ยนหลายครั้งมาได้ ซึ่งก็ไม่รู้จะจำกัดความมันว่าอย่างไรดี...เมื่อทบทวนฉันพบว่าฉันแค่ทำสิ่งที่ฉันรักด้วยความมุ่งมั่น มีสติเป็นหางเสือ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของศรัทธา...

...ก็ตั้งใจจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะที่ผ่านมามันก็เวิร์ค แต่ถ้าครั้งนี้หรือครั้งหน้ามันเกิดจะไม่เวิร์คขึ้นมาก็คงไม่เสียใจอะไร ผ่านมาได้ถึงจุดนี้ ฉันว่าฉันใช้ชีวิตคุ้มแล้วนะ.....







------------------------------------------------------------------------------------------------
อธิบายคำ

ศรัทธา เป็นคำทางพุทธศาสนา มีความหมายทางพุทธศาสนาที่เฉพาะและลึกซึ้งมาก ไม่ได้แปลว่า เชื่อ งมงายแบบที่สังคมตอนนี้ใช้หรือเข้าใจกัน ใครอยากรู้ความหมายที่แท้จริงไปถามอากู๋ดูได้  ในความคิดของฉันสำหรับมนุษย์โลกอย่างเราๆ หากจะนำคำนี้มาใช้ ฉันคิดว่า ศรัทธาแปลแบบโลกๆได้ความว่า  'ความเชื่อมั่นในเหตุที่ทำไว้ดีแล้ว'....เช่นปลูกมะม่วงก็เชื่อว่าต้องได้มะม่วงจะไปเชื่อว่าได้พุทราคงไม่ถูก   แต่ถ้าปลูกมะม่วงแล้วผลผลิตไม่ดี ก็ต้องมาดูกันว่า จะให้ได้ผลผลิตมะม่วงที่ดีต้องใช้อะไรบ้างทำอย่างไรบ้าง  รู้แล้วก็ทำให้ครบซะ หากเหตุบางอย่างมันเหลือวิสัย เช่นเป็นเรื่องฟ้าฝนหรืออากาศ ก็ต้องยอมรับว่าเราทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว อันนี้มันเป็นเรื่องเหนือการควบคุม ถ้าเรารักในสิ่งที่เราทำ ทำไปเรื่อยๆไม่หยุดมันต้องมีวันที่ฟ้าฝนเป็นใจบ้างสักวัน...
...ที่สำคัญถ้ามันเป็นสิ่งที่เรารักจริงๆ เรารักที่จะปลูกมะม่วง ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน รักที่จะอยู่อย่างอิสระท่ามกลางออกซิเจน ต้นไม้ใบหญ้า เราก็มีความสุขอยู่แล้วทุกวันที่ทำมิใช่หรือ ประสบความสำเร็จตั้งแต่ลงต้นกล้าวันแรกแล้ว  เรื่องที่ว่ามะม่วงออกผลมากน้อย ขายได้กำไรรึเปล่า เป็นแค่เรื่องผลพลอยได้ต่างหาก ได้มากได้น้อยเราจะทุกข์ไปทำไมนักหนาล่ะ....




ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม