R u mad?



ฉันเคยเป็นคนขี้โกรธ จะใช้คำว่า 'เคย' ก็อาจะไม่ถูกนักเพราะปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ เพียงแต่น้อยลง เบาลง และพยายามใช้สติปัญญาเข้าช่วย....

เมื่อก่อนนี้เวลาโกรธฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเองดีให้หายโกรธลงได้ ฉันต้องการให้ใครสักคน คำพูดสักคำ หรืออะไรก็ได้ที่จะมาปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกนีื้ เรียกว่าโกรธจนหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้ ทำได้แค่หล่อเลี้ยงความโกรธนั้นไว้จนกว่าคนที่ทำให้โกรธจะมาขอโทษ หรือบอกเหตุผลดีๆสักข้อฉันจึงจะให้อภัยได้ ไม่อย่างนั้นก็จะโกรธต่อไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น  และฉันเคยรู้สึกประหลาดใจตัวเองทุกครั้งที่ความโกรธที่พลุ่งพล่านมากมาย ราวกับโลกจะถล่มดินจะทลายมันหยุดลงได้ทันทีราวกับปิดสวิทช์เมื่อได้ยินคำว่า 'ขอโทษ' หรือเหตุผลดีๆสักข้อ! 

....มันประหลาดดีที่ฉันเอาชีวิตตัวเองไปผูกติดไว้กับคำพูดบางคำ หรือการกระทำบางอย่างของคนอื่น...
 

ฉันโกรธจนเป็นนิสัย ดุและเอาเรื่องเอาราวกับทุกสิ่งจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ทำอย่างนี้จนกระทั่งวันหนึ่งที่เกิดฉุกคิดขึ้นมาและตั้งคำถามต่อตัวเองหลายข้อว่า

-ทำไมต้องโกรธ? 
-ทำไมต้องรอให้ใครสักคนมาทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้เราหายโกรธด้วย?  -ทำไมเราต้องตั้งความคิดของตัวเองไว้ว่าเมื่อมีใครมาทำให้โกรธต้องให้คนๆนั้นมาขอโทษถึงจะหายได้?
-หรือเค้าต้องมาบอกเหตุผลดีๆ คำแก้ตัวที่เราฟังแล้วรู้สึกเข้าท่า เราจึงจะให้อภัยและหายโกรธได้?  

-ถ้าเค้าไม่ทำสิ่งเหล่านั้นเราสามารถหายโกรธเองได้มั้ย? 
-แท้ที่จริงแล้วเราสามารถหายโกรธเองได้โดยไม่ต้องอาศัยเงื่อนไขอะไรเลยได้รึเปล่า?   

ถ้าทำได้...เท่ากับที่ผ่านมาเราก็เหมือนเอาสวิทช์แห่งความสุข ไปไว้ในมือคนอื่น ให้เค้าเปิดปิดได้ตามใจปรารถนา  ทั้งๆที่ชีวิตนี้มันเป็นของเรางั้นหรือ?......



ฉันถามตัวเองเรื่อยๆ และเริ่มทดลองทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ พยายามเปลี่ยนนิสัยและความเคยชิน พยายามเอาเงื่อนไขต่างๆที่เคยยึดถือไว้ทิ้งไป ...พยายามควบคุมอารมณ์ควบคุมความโกรธของตัวเอง  ก็ทำได้บ้างแต่ส่วนใหญ่ออกแนวไม่ค่อยจะได้ อาจเพราะนิสัยผูกโกรธที่สั่งสมมานานหลายสิบปีต้องใช้เวลาในการค่อยๆชำระสะสาง อีกอย่างฉันคิดว่าฉันยังคงไม่เข้าใจเรื่องความโกรธและการให้อภัยอย่างถ่องแท้ จึงทำให้การปฏิบัติไม่ค่อยจะได้ผล....

...จนกระทั่งวันหนึ่งได้บังเอิญอ่าน ถาม-ตอบจากเพจของท่านอาจารย์โกเอ็นก้าที่ฟอลโล่ไว้ในเฟสบุ๊ค 
...มีคนถามท่านไว้และท่านได้เมตตาตอบดังนี้

ศิษย์ถาม: ในชีวิตประจำวัน ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ ไม่มีใครหนีพ้นได้ ธรรมเป็นกฎที่จริงแท้แน่นอนแล้วทำไมธรรมะจึงสอนให้เรายกโทษให้กับผู้ที่ทำผิดล่ะคะ?


ท่านอาจารย์: ที่ควรจะยกโทษให้กับผู้ที่ทำผิด ก็เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง ถ้ามีใครมาทำร้ายหรือเบียดเบียนท่าน แล้วท่านรู้สึกอาฆาตแค้นคนๆนั้น ก็เท่ากับท่านกำลังทำร้ายตัวเอง ฉะนั้น ท่านจึงควรให้อภัยและลืมมันไปเสีย..นี่เป็นประโยชน์ของท่านเอง
 

ฉันอ่านจบแล้วรู้สึกเหมือนมีใครเอื้อมมือมาเปิดสวิทช์ไฟในหัวสมองมืดๆของฉันพลันทุกอย่างก็สว่างมองเห็นอะไรต่อมิอะไรชัดขึ้นมาทันที....

...ฉันเพิ่งเข้าใจว่าเรื่องแท้ๆมันเป็นอย่างนี้ ...คือที่แท้มันเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของเขา  การให้อภัยก็เพื่อประโยชน์กับตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อคนที่ทำผิดต่อเรา ใครกระทำอะไรไว้ย่อมหลีกหนีกรรมที่ทำนั้นไม่พ้น การให้อภัยไม่ใช่ว่าเราไม่ถือโกรธแล้วเค้าจะไม่ต้องรับผลกรรมใดๆ ที่ได้เบียดเบียนเราไว้ แต่การให้อภัยคือการปลดปล่อยตัวเราเองต่อการกระทำของเขา ต่อการจองเวรจองกรรม ทำให้เราได้เป็นสุข  ไม่ทุกข์ไม่รุ่มร้อนด้วยเพลิงแห่งความโกรธที่เผาจิตใจซึ่งเป็นผลร้ายต่อทั้งร่างกายและจิตใจเราเองทั้งนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย....

ฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้บังเอิญไปอ่านข้อความของท่านโกเอ็นก้าเข้า มันเหมือนมีคนมาปลดปล่อยฉันออกจากห้องที่ฉันล๊อคตัวเองไว้ และความเข้าใจอันนี้ทำให้การขัดเกลาตัวเองเรื่องความโกรธของฉันง่ายมากขึ้น คือมันไม่เป็นไปในลักษณะกดข่ม ฝืนทำทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนที่ผ่านมา มันเป็นลักษณะของการใช้สติปัญญาเข้าแก้ไข พอเข้าใจมันก็ไม่ต้องฝืนต้องทน มันก็ปฏิบัติได้ง่ายขึ้น ขณะทำก็ได้ประโยชน์จากความสุขที่เกิดขึ้นด้วย 

ฉันเรียนรู้อีกว่าการหมั่นประคองจิตใจให้อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ความทุกข์เรื่องความโกรธลดน้อยลง  

...เมื่อรู้สึกโกรธฉันพยายามตระหนักรู้ด้วยว่าความโกรธที่เกิดขึ้นอาจเพราะบางทีเราก็อาจจะคิดมากไป หรือบางทีคนอื่นอาจจะคิดน้อยไป แต่ไม่ว่าการเบียดเบียนนั้นจะเป็นโดยเจตนาหรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องมันก็จบไปแล้วตั้งแต่วินาทีนั้นได้ผ่านไป เมื่อวานก็คือเมื่อวาน ตอนนี้เวลานี้ต่างหากที่ควรใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเอง.....ยิ่งถ้าเกิดเรื่องในครอบครัว หรือหมู่เพื่อนมิตรก็ควรตระหนักว่าเราต่างมีเวลาบนโลกใบนี้กันอีกไม่นาน ไม่เกินสี่ห้าสิบปีก็คงตายจากกันแล้ว จะมาเสียเวลาวันหนึ่งสองวันหรือเดือนหนึ่ง ปีหนึ่งเพื่อโกรธกันไปทำไม เลือกที่จะทำดีต่อกัน สะสมความรู้สึกที่ดีต่อกันให้มากที่สุดดีกว่า เมื่อถึงวันที่ต้องตายจากกันนอกจากจะไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วยังมีแต่ความรู้สึก ความทรงจำที่ติดบวกต่อกัน นึกขึ้นมาทีไรก็แช่มชื่นใจทุกครั้งดีกว่า
 
ชีวิตเลือกได้ เลือกที่จะผูกโกรธ เพ่งโทษ หรือเลือกที่จะให้อภัย เลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน เราเป็นผู้เลือกเอง  ไม่มีใครมาบังคับให้เราต้องรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ไม่มีใครบังคับให้เราทุกข์ได้ เราต่างหากที่เป็นผู้เลือกที่จะทุกข์เอง คนอื่นๆก็เป็นเพียงแค่ปัจจัยเท่านั้น เค้าอาจกระทำบางอย่างเป็นปัจจัยให้เรารู้สึกโกรธไม่พอใจได้  แต่เราจะโกรธหรือไม่พอใจไปกับมันหรือเปล่านั้นเป็นเรื่องที่เราเลือกเอง วาจาร้ายๆเหมือนลูกธนูที่มีคนยิงมา เอาจริงๆขณะที่ลูกธนูมันปลิวอยู่ในอากาศมันไม่มีเจ้าของ แต่เราดันไปแอ่นอกรับลูกธนูนั้นไว้เอง ด้วยความยึดมั่นถือมั่น และเข้าใจผิดว่าเป็นของตัว ทุกข์มันจึงเกิด ถ้าเรามองเสียใหม่อย่างนี้ เราจะรู้ทันทีว่าเราเองนั่นแหละที่ยึดมั่นถือมั่นไปเอง ทุกอย่างมันอยู่ที่เราไม่ใช่เขา

ความโกรธเป็นเพียงปฏิกิริยาที่เราเลือกหยิบมาใช้โต้ตอบต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ความจริงมีอยู่ว่าความโกรธไม่ใช่ปฏิกิริยาเพียงอย่างเดียวที่เราสามารถหยิบมาใช้ได้ ยังมีปฏิกิริยาเฉยๆ หรือปฏิกิริยาในทางบวกอีกมากมายที่เราหยิบมาใช้ในสถานการณ์นั้นๆได้ เพียงแต่เราไม่รู้หรือไม่เคยหยิบมันมาใช้เท่านั้นเอง....
ที่ผ่านมาเราเองเป็นผู้ตั้งโปรแกรม หรือชุดความคิดเหล่านี้ให้กับตัวเอง โดยหยิบมาจากประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมทางสังคมชี้นำชักชวนให้เรามีชุดความคิดเช่นนี้ เราโปรแกรมตัวเองไว้ว่า ถ้ามีคนมาทำแบบนี้ พูดแบบนี้ เราต้องมีปฏิกิริยาตอบโต้ออกไป เช่น หากเขาพูดชม เราก็จะรู้สึกยินดี พอใจ มีความสุข หากเขาพูดตำหนิ ด่าทอ เราก็จะรู้สึกยินร้าย ไม่พอใจ โกรธ แล้วเราก็พัฒนาความรู้สึกยินดี ยินร้ายนี้พอกพูนในจิตใจไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว จากยินดี พอใจ ก็เป็นปลาบปลื้ม หลง สำคัญตัวผิด ยึดมั่นถือมั่นถือตัวถือตน  จากยินร้าย ไม่พอใจก็ผูกโกรธ เคียดแค้น อาฆาต อยากทำลาย  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดมาจากเราไปผูกชุดความคิดเอาไว้แบบนั้น   

....ฉันเริ่มเข้าใจใหม่ว่าเรามีทางเลือกและแท้ที่จริงแล้วคนทุกคนไม่จำเป็นต้องมีชุดความคิดสำเร็จรูปพวกนี้เลยก็ได้ มันอาจมีประโยชน์ในการแปลความหมายของคำพูด ของการกระทำต่างๆในสังคม เพื่อให้เราได้เลือกใช้ปฏิกิริยาที่มีต่อกันได้อย่างสะดวกรวดเร็วทันท่วงทีไม่ต้องมานั่งไตร่ตรองทุกอย่างทุกเรื่องใหม่หมดทุกครั้ง เหมือนหยิบเครื่องปรุงสำเร็จรูปมาใช้ปรุงอาหาร ฉีกซองใช้ได้ทันที แต่ถ้าเทียบกันแล้วโทษมันมากกว่าคุณ อาหารที่ปรุงจากเครื่องปรุงสำเร็จรูปมันอาจจะสะดวกแต่มันไม่ดีกับสุขภาพฉันใดก็ฉันนั้น เพราะเราขาดความรู้ที่แท้จริงถึงที่มาที่ไปของชุดความคิดพวกนี้ เราจึงหลงไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น จนมันนำพาชีวิตเราไปสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อนกายใจจากสิ่งที่แท้ๆแล้วไม่มีแก่นสารสาระอะไรเลย...

ฉันคิดเองว่าในชีวิตหนึ่งที่เกิดมานี้ หากจะมีอะไรเป็นแก่นสารสาระที่สุดก็น่าจะเป็นการขัดเกลาตัวเอง ให้พ้นจากความทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นเองด้วยความเข้าใจผิด จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ใช้เวลาที่เหลืออยู่เพียรพยายามทำให้ตัวเองดีขึ้นจากเมื่อวาน จะดีขึ้นมากหรือน้อยไม่ใช่ประเด็น ขอให้ดีขึ้นแม้เพียงน้อยนิดก็นับว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้เกิดมาเป็นคน ได้มาเกิดในดินแดนพุทธภูมิ ได้ศึกษาคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ปัจจุบันคนขี้โกรธอย่างฉันกำลังเพียรพยายามลดละนิสัยที่สั่งสมมาหลายสิบปีนี้ออกไป ทีละนิดทีละน้อย ฉันไม่กล้าคิดหรอกว่าชาตินี้จะสามารถละกิเลสข้อโทสะนี้ได้ มันฟังดูเป็นเรื่องอีกไกลและไม่อยากจะปักธงอะไรทั้งนั้น ฉันรู้แต่ว่าฉันจะทำไปเรื่อยๆ เพียรไปเรื่อยๆ เท่าที่เวลาที่เหลืออยู่จะอำนวย แม้ความก้าวหน้าจะเทียบได้เท่ากับความเร็วของหอยทากก็จะไม่ย่อท้อล้มเลิก ขยับทีละคืบหรือขยับที่ละนิ้วมันก็ขยับไปข้างหน้าเหมือนกัน ไม่ช้าก็เร็วมันก็ถึง ดีกว่ายืนมองเส้นชัยแล้วทอดอาลัยว่ามันไกลโดยไม่ทำอะไรเลย ฉันคิดว่าเส้นชัยมันอยู่ที่ทุกขณะจิต แค่ลงมือทำก็สำเร็จแล้ว 
   ^_^ 

.....................
ไม่มีใครมาทำให้เราโกรธได้ เราเองต่างหากเป็นผู้เลือกที่จะโกรธ...
ไม่มีใครมาทำให้เราผิดหวังได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเราตั้งความหวังนั้นไว้เอง ...
ไม่มีใครมาทำให้เราเสียใจได้ หากเราไม่ไปหลงยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่างๆเอาไว้เอง ...
.....................
 
 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม