Daily Me : 22 August 2014

ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้อัพเดทอะไรเลย เหตุผลคือขี้เกียจถ่ายรูป :D   เวลาทำงานจะขี้เกียจมานั่งถ่ายอะไรระหว่างทำ เข้าแขน เข้าปก เข้าตัว ฯลฯ เคยเห็นหลายๆคนเค้าถ่ายไว้ตลอดซึ่งมันดีมาก แต่ฉันทำไม่ได้...อื้ออ จริงๆ ต้องใช้คำว่าถ้าจะทำก็ทำได้แต่ขี้เกียจทำ ^^'  
งานที่ผ่านมาก็ทำลาติแบบใหม่ไป 4 แบบ ไบล์ทอีก 1 แบบ...ชอบไบล์ทชุดใหม่มากเหมือนกันนั่งปั้นอยู่หลายวันทีเดียว ^^ ตอนนี้กำลังนั่งมองน้องๆที่ยืนแก้ผ้ารอชุดใหม่กันหน้าสลอนอยู่เป็นสิบ  ช่วงนี้มีไฟในการทำงานพอสมควรอยู่แต่สมาธิไม่ค่อยมี คอยแต่จะไปหาคลิปนู้นนี่ดูแก้เบื่ออยู่เรื่อย ต้องคอยดึงกลับมา  ^^'

ดูคลิปรายการกาละแมร์อันนึง เค้าแนะนำให้แกว่งแขนบ่อยๆ เพราะคนที่นั่งทำงานหน้าคอมฯ หรือโต๊ะทำงานมักอยู่ในสภาพแน่นิ่งนานเกินไป สภาพแน่นิ่ิงที่ว่านี้คือสภาพที่นั่งเฉยๆ ขยับแต่มือที่พิมพ์บนคีย์บอร์ด หรือลากเม้าส์เท่านั้น ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง จะมีบ้างที่ลุกไปทานข้าวกลางวัน หรือเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อเทียบเวลาแล้วเราใช้เวลากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของชั่วโมงทำงานอยู่ที่โต๊ะ ภาษาแพทย์เค้าเรียก 'สภาพแน่นิ่ง'  วิธีแก้ไขง่ายๆคือลุกขึ้นมายืนแกว่งแขน บ่อยเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เลือดไหลเวียนช่วงหัวไหล่ ลำคอ แขน วิธีนี้ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเส้นเลือดและอื่นๆอีกมากมาย ทำได้ง่ายๆด้วยตัวเอง ลองทำมาวันนึงแล้วก็รู้สึกดีมากๆ เพราะทุกวันจะรู้สึกปวดคอ ปวดหลัง ปวดขาจากการนั่งเย็บ ผ้าเช้า จรดเย็นตลอด พอแทรกด้วยการแกว่งแขนบ้างก็รู้สึกช่วงลำคอคลายปวดคลายเกร็งไปได้เยอะ อยากหาคลิปเต้นๆ ระหว่างวันด้วย จะได้ขยับร่างกายส่วนอื่นๆบ้าง สำหรับคนทำงานที่บ้านอย่างเราคงต้องฉกฉวยเอาเวลาเล็กๆน้อยๆเท่าที่จะหาได้ เพราะไม่ได้มีโอกาสไปเดินช้อปปิ้งตลาดนัดตอนเช้าและตอนเที่ยงเหมือนสาวออฟฟิศเค้า ^^'    


ในช่วง 2-3อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ย้อนนึกถึงแล้วก็มีเศร้าบ้างแต่โดยรวมก็รู้สึกดี เพราะถึงแม้มันจะเป็นเรื่องไม่ค่อยดีนักที่ผ่านเข้ามา แต่เมื่อสงบอารมณ์และพิจารณาดูแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นเราเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เมื่อมองออก ก็หาหนทางแก้ไขได้ กะท่อนกะแท่นบ้างเพราะยังต้องคอยดึงอารมณ์อยู่แต่ก็ทุกข์น้อยกว่าแต่ก่อนมาก เมื่อก่อนเวลาเจอปัญหา มักชอบคิดว่าทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ทำไมต้องเป็นฉันอะไรแบบนี้ คิดแล้วก็โมโห ท้อ และรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย เราอยู่ของเราดีๆแท้ๆ .....แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยคิดแบบนั้นแล้ว เห็นอารมณ์ตัวเองมากขึ้นว่ากำลังบิ้ว พายุกำลังก่อตัวเวลาเจอเรื่อง และเห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่เกิดขึ้นมากขึ้น คือไม่ได้โทษคนอื่นอย่างเดียว หรือคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย....สิ่งนี้มันทำให้คนที่เป็นโทสะจริตอย่างฉันลดดีกรีความพลุ่งพล่านได้มาก เมื่อเห็นว่าเราเองก็มีส่วนหรือมีความผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย ความโกรธมันก็ลดลง เรื่องมันคงไม่เกิดถ้าเรามีสติมากกว่านี้ มันไม่ใช่แค่ที่เขา มันที่เราด้วย 
เดี๋ยวนี้มองอุปสรรคหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในแง่ที่ดีขึ้น เหมือนมาทดสอบ มาเตือนให้เรารุ้ว่าเรายังบกพร่องตรงไหน ต้องพัฒนาและจะแก้ไขอย่างไร....

อีกสิ่งที่ได้เรียนรู้คือ เรื่องเกี่ยวกับการพูดด้วยความปรารถนาดี  ถึงเราจะคิดว่าเรามีความปรารถนาดี และเพียรพยายามที่จะเป็นกัลยาณมิตรต่อเพื่อนฝูงคนรอบข้าง แต่ถ้าการพูดนั้นไม่คำนึงถึงกาละเทศะก็ส่งผลในทางกลับกันได้ เคยจำได้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเกี่ยวกับการพูดไว้ประมาณว่า ถึงจะพูดความจริง และมีประโยชน์แต่ถ้าพูดแล้วทำให้ผู้อื่นไม่พอใจก็ควรรู้จังหวะหรือกาละเทศะในการพูด ไม่ใช่คิดว่าจริงและมีประโยชน์นึกอยากจะพูดตอนไหนก็พูดเลย  นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้วยังโดนเค้าเกลียดเอาด้วย  

จากบทเรียนที่ผ่านมาได้แต่บอกตัวเองว่าจะรัดมัดระวังและมีสติให้มากต่อจากนี้ ....




 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม