เฟสบุ๊คทุกข์ใจ....

มีคนเคยพูดไว้ว่า "โลกเคยดีกว่านี้ ตอนที่แอ๊ปเปิ้ลกับแบล๊คเบอร์รี่ยังเป็นแค่ผลไม้" ....
ฉันขอเพิ่มว่า "มิตรภาพกับเพื่อนมันเคยจัดการง่ายกว่านี้ ตอนที่เรายังไม่มีเฟสบุ๊คกับทวิตเตอร์ใช้"....  

อะไรทำให้เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ด้วยกันมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น มีการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วฉับไว ทั้งหมดนี้ทำเพื่อให้เรามีเวลาไปทำสิ่งมีประโยชน์อย่างอื่นในชีวิตได้ แต่กลับกลายเป็นโซ่ตรวนผูกมัดเราไว้กับมันราวกับเป็นทาส ที่ต้องเอาเวลาในชีวิตแทบจะทั้งหมดมารับใช้มัน..... 

ตั้งแต่มีมันเราบางคนก็วนเวียนเสพย์ติด เขียนพ่นความรู้สึกที่บางทีก็เต็มไปด้วยอารมณ์ และไม่คำนึงถึงว่าใครมาอ่านเข้าแล้วจะรู้สึกอย่างไร แล้วบอกกับตัวเองอย่างมั่นๆว่านี่คือพื้นที่ส่วนตัวของฉันที่ฉันจะทำอะไรก็ได้ไม่เห็นต้องแคร์ใคร แต่โคตรจะแคร์เวลาไม่มีใครมากดไลค์ กดเม้นท์..... 

ฉันเชื่อว่าเทคโนโลยี, เฟสบุ๊ค, ทวิตเตอร์...ไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เราหันหลังให้โลกแห่งความเป็นจริง แล้วมาหมกมุ่นขลุกกันอยู่แต่ในโลกสมมุติใบนี้....โลกสมมุติที่เราสร้างขึ้น และอวตารโลดแล่นกันอยู่ในนั้น....สร้างตัวตน สร้างรูปโปรไฟล์แบบที่เราอยากให้คนอื่นเข้าใจว่าเราเป็นอย่างนั้น เขียน พ่น แชร์ โต้เถียงและถือเอาจริงเอาจังกับมันมากมาย...มากจนมีคนจำนวนไม่น้อยเผลอคิดว่ามันสำคัญพอๆกันหรือมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริง แล้วใช้มันอย่างผิดๆ ....


หลายคนระบายของบูดเน่าในจิตใจตัวเอง ก่นด่าสิ่งที่ไม่ชอบโดยไม่สนใจว่าจะไปกระทบใจใครมั้ย...ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่จะผ่านมาเห็นข้อความบูดเน่านี่ก็เพื่อนสนิทคนใกล้ชิดทั้งนั้น.... บางคนเถียงเอาเป็นเอาตายกับความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับจริตของตัวเองและถือเป็นจริงเป็นจังจนหลายๆครั้งต้องจบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกันลงไป.... 
 
พวกเขาใช้ปุ่มไลค์เป็นหน้าที่ภาคบังคับที่ต้องทำเพื่อ 'แสดง' ความใส่ใจต่อเพื่อน.....และถ้าใครไม่ 'แสดง' คือผิดและสมควรที่จะถูกต่อว่าต่อขานคาดโทษเอาได้... 

พวกเขาเป็นทุกข์ เพราะตีความเอาเองว่าการที่เพื่อนไม่กดไลค์หรือคอมเม้นท์อะไรเลย = การไม่สนใจและไม่แคร์....

...โลกสมมุติของพวกเขากำลังสั่นคลอนมิตรภาพในโลกแห่งความเป็นจริง....

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทุกสเตตัส ทุกความคิดเห็นของ 'ฉัน' ต้องได้รับการตอบรับจากเพื่อน ถ้าไม่อย่างนั้น 'ฉัน' จะนอยด์ น้อยใจ เสียใจ....'ฉัน' เขียนอะไรลงไปใครสักคนต้องมาไลค์ ต้องมาเข้าใจ 'ฉัน' สิ!?!....ลองนับดูว่าในประโยคนี้มีคำว่า 'ฉัน' อยู่กี่คำ?  มันสะท้อนอะไรบางอย่างอยู่รึเปล่า? ....
ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรแบบนี้จากคนรอบข้างขอให้ถามตัวเองเถิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับความรัก ความปรารถนาดีที่ไม่ต้องการการตอบแทน?....มันเหือดหายไปจากใจเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?  ทำไมเราถึงโหยหาเรียกร้องการยอมรับอะไรสักอย่างจากคนรอบข้างมากมายขนาดนี้? 
.....มันบกพร่องที่เขาหรือมันบกพร่องที่เรากันแน่?     


ถ้าเราทุกคนมีหน้าที่ต้องกดปุ่มอะไรสักอย่างบนสเตตัสของกันและกัน เฟสบุ๊คคงไม่ได้มีแต่ปุ่ม 'ชอบ' อย่างเดียว เค้าคงทำปุ่ม 'ไม่ชอบ'  และปุ่ม 'เฉยๆ' ขึ้นมาด้วยเพราะคนเราย่อมมีความรู้สึกแบบอื่นๆด้วย...
และถ้าเรารู้สึกว่าเพื่อนห่างๆไป คิดถึง อยากไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ อยากส่งความปรารถนาดีให้ ก็อย่าลืมว่ามันยังมีช่องทางอื่นที่เราจะสื่อสารกันได้อีกตั้งหลายรูปแบบ โทรหากันได้ ส่งเมสเสจ ไลน์ ฯลฯ ซึ่งตรงประเด็นและใจถึงใจมากกว่าอีก....เพียงแค่มันไม่ได้ออกสื่อเพราะจะมีแต่เรากับเพื่อนเท่านั้นที่รู้....ก็คงต้องถามใจว่าเราอยากให้เพื่อนรู้หรือเราอยากให้โลกรู้กันแน่?....

โลกทั้งใบไม่ได้อยู่บนเฟสบุ๊ค  โลกจริงๆมันกว้างใหญ่กว่านั้นมาก และสำหรับเรื่องของมิตรภาพแล้วเราก็ควรทำใจให้กว้างๆเข้าไว้...

อย่าปล่อยให้จำนวนไลค์จำนวนเม้นท์มีค่ามากกว่าจำนวนครั้งของมือที่เคยตบบ่ายามเราทดท้อ... หูที่คอยรับฟังยามเรามีเรื่องทุกข์ใจ 

....มิตรภาพที่แท้จริงที่มีต่อกันมานานไม่ควรต้องสิ้นค่าไปเพราะแค่อาการนอยด์ หรือสเตตัสที่ขาดความยับยั้งชั่งใจบนเฟสบุ๊ค....

  

บทความที่ได้รับความนิยม