Me&Dollpaca 2014
งาน Dollpaca เพิ่งจบไปเมื่อวาน เหนื่อยดี สนุกดี งานคราวนี้พยายามจะรีแล๊กซ์กับทุกอย่าง เอาความชอบแท้ๆเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาผล เหมือนที่ผ่านมา....
ผ่อนคลายตัวเองตั้งแต่เริ่มจองบูธกันเลยทีเดียวว่าพร้อมจะทิ้งให้เพื่อนถ้าไม่มีงานไปวางขาย :)
ผ่อนคลายเรื่องผลงานว่าจะทำเท่าที่ทำได้ คิดทำแต่เนิ่นๆ ...ข้อนี้ยังผ่อนคลายได้ไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะถึงจะคิดแบบไว้คร่าวๆ แล้วแต่เนิ่นๆ แต่กว่าจะลงมือทำก็คือต้นเดือนกันยายนแล้ว แถมพอใกล้วันงานแทนที่จะเอาแค่ที่ทำเสร็จแล้วกลับโลภอยากได้แบบสำหรับตุ๊กตาอื่นเพิ่มเข้าไปอีก ต้องคอยดึงตัวเองกลับมาอยู่ตลอดว่า เฮ้ยย! ควรพอได้แล้วมั้ย?...ทำเยอะยังไม่รู้จะขายได้รึเปล่า!....
งานนี้คิดไว้ในหัวว่าจะเป็นชุดสำหรับโมโมโกะ บลายธ์ โอเดโกะ และตุ๊กตาประเภทพลาสติกทั้งหลาย พวก BJD เรซิ่น คิดว่าจะทำในงานช่วงต้นปี แยกกันไปจะได้ไม่เยอะเกิน
ก่อนจะถึงวันงานสามสี่วัน มานั่งแพ็คนั่งดูผลงานที่จะไปวางขายแล้วเกิดคิดได้ขึ้นมาว่า เอ...มันจะขายได้มั้ยน๊อ? คือเลือกโมโมโกะเป็นเมนหลักแต่น้องโมฯเป็นตุ๊กตาที่ไม่ได้มีคนไทยเล่นเยอะมากนักแบบ blythe การที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมาทำชุดโมโมโกะอย่างเดียว จะขายเป็นเรื่องเป็นราวออกชุดมาทีละ 4-5 แบบอย่างนี้ มันไม่ใช่กล้าอย่างเดียว มันต้องบ้า(มาก)ด้วย ... คือถ้าตอนที่คิดชุด-ทำชุด คิดเรื่องผลแบบนี้รับรองว่าไม่ทำแน่ กลัวขายไม่ได้ ฮ่าๆ... และก็คงจะหันไปทำอะไรแมสๆ ออกมาขายมากกว่าเพราะค่อนข้างคาดหวังผลได้...
หลายคนที่ไปขายของในงานเค้าใช้ความชอบเป็นตัวตั้งมาตลอด ฉันมองดูเพื่อนๆที่ทำชุด ทำนู่นทำนี่ออกมาขายด้วยความรัก ความชอบ โดยไม่ใส่ใจนักว่ามันจะขายได้หรือไม่ ฉันรู้สึกว่ามันดีจัง ขายไม่ได้ก็ให้เพื่อน แจกเพื่อน แลกของกันบ้างไรบ้าง และพวกเขาสามารถจะสร้างสรรค์ได้มากเท่าที่ต้องการเพราะไม่ได้ใส่ใจผล คือไม่สนใจว่าจะขายได้หรือไม่ ไม่มีกรอบในเรื่องรายได้มาบีบรัดเพราะมีงานประจำที่มีรายได้หลักอยู่แล้ว นี่คืองานอดิเรกสำหรับเขา... คือฟีลมันกู้ดมากๆเลยนะ...
ขณะที่ในมุมของฉัน การทำใจไม่ให้คาดหวังในผลเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะขณะที่ในใจอยากจะทำอะไรที่มันฉีก แหวกๆ อยากลองอะไรใหม่ๆบ้าง สามัญสำนึกมันก็จะดึงกลับมาที่รายได้ คือผลเป็นหลักเสมอ เพราะรายได้ที่จะได้จากการขายคือรายได้หลักที่ใช้ในการจุนเจือครอบครัวพ่อแม่พี่น้อง สำหรับฉันแล้วงานนี้มันไม่ใช่งานอดิเรก มันคืองานประจำ....ฟีลมันเลยไม่เหมือนกัน
....มันดีมากเลยนะที่เราสามารถทำในสิ่งที่รักให้เป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัวได้ ไม่ต้องไปขายแรงงานสานฝันให้คนอื่น แต่มันก็มีจุดที่ไม่น่าแฮปปี้อยู่บ้างเวลาที่มีเรื่องรายได้มาเกี่ยวข้อง คือมันต้องทำให้พอกิน ให้จุนเจือครอบครัวได้ด้วยทำตามใจมากนักไม่ได้...
เพราะฉนั้นสำหรับฉันแล้วการดึงใจออกห่างจาก'ผล' แล้วเอา'ความชอบ'เป็นตัวตั้งถือเป็นเรื่องยากและท้าทายความก้าวหน้าในการปล่อยวางมากๆ
ก็ถือเป็นเรื่องดีที่คราวนี้ได้ฝึกฝนตัวเองในเรื่องนี้ ถามว่าสอบผ่านมั้ย คิดว่าเต็ม 100 น่าจะได้สัก 50-60 ....ฮ่าๆๆ คะแนนขี้เหร่เล็กน้อย ผ่านมาแบบครูเอาติงยันให้พ้นเส้นยาแดงมาได้ เพราะคิดกังวล แอบเครียด และคาดหวัง ยิ่งเป็นมากขึ้นเมื่อใกล้วันงาน ต้องดึงใจตัวเองกลับมาที่การสร้างเหตุ กลับมาอยู่กับปัจจุบันวันละนับครั้งไม่ถ้วน......
....งานนี้ถลอกปอกเปิกทั่วตัว แต่ไม่ถึงกับตาย... :)
.....พอจบงานก็ปาดเหงื่อว่ารอด...โชคดีเหลือเกินที่มันจบลงที่ใจก็ฟิน รายได้ก็ไม่เฟล.... :))
ฉันเรียนรู้ว่าท่ามกลางความวิตกกังวล และความพยายามที่จะรักษาสมดุลย์ในชีวิต มันดูเหมือนเครียด ดูเหมือนมีเรื่องให้ต้องคิดมาก กับตัวเอง กับชีวิต กับสิ่งที่ต้องตัดสินใจแล้วมันอาจส่งผลกระทบต่อคนที่เรารักเราดูแลอยู่ แต่พอมันจบไปแล้วย้อนมองกลับไปอีกที ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้นะ เหมือนมีชิ้นงาน หรือโปรเจคเข้ามาทดสอบชีวิตเป็นเรื่องๆไป ทำจบไปแล้วก็ให้เรียนรู้จากมัน หาข้อคิด หาบทเรียนที่ได้...หากมีสิ่งที่ทำพลาดไปก็นำมาปรับปรุงแก้ไข เสร็จแล้วก็ต้องปล่อยวาง ...พร้อมจะรับมือกับสิ่งใหม่ที่กำลังจะเข้ามา และไม่ลืมที่จะอยู่กับปัจจุบันให้มากๆ
มารีแล๊กซ์มากๆ เอาตอนเลิกงานได้ไปกินส้มตำกับเพื่อนๆ สั่งกันจนเต็มโต๊ะ กินกันจนพุงกาง แล้วยังไปต่อขนมหวานกันทีีีีี่ after you อีก
....ได้กินอาหารอร่อย ได้คุยกันแซวกันขำๆ ....ความสุขล้นใจ อาหารล้นโต๊ะ อิ่มจนล้นมาที่คอ...แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน :)
ฉันอาบน้ำขึ้นเตียงนอนตอนห้าทุ่มกว่าๆ ก่อนที่จะผล๊อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและอิ่มใจ... ฉันนึกในใจว่า อืมมม...วันนี้มันดีจริงๆนะ......(ฟีลพริ้มเหมือนตอนตักช๊อคฯลาวาเข้าปากคำแรก... )
.......... คร่อกกกกกกกกก...zzzzzZZZZZ
ปอลิง. ไม่ได้ถ่ายรูปบูธตัวเองไว้เลยมัวแต่ขายของ อันนี้ไปขอชาวบ้านเค้ามาแปะไว้หน่อย ^_^
ปอลิง2.
ฟีลฟินสำหรับวันนี้ คือการที่คนๆหนึ่งที่ไม่เคยเล่นและไม่เคยมีโมโมโกะเลย มาที่บูธและชอบชุดที่เราทำมากจนตัดสินใจซื้อทั้งๆที่ยังไม่มีตุ๊กตา! ได้ชุดเราไปแล้วเธอจึงซื้อโมโมโกะจากบูธข้างๆ กลับบ้านไปเล่นเลยทีเดียวสองตัว!... คือมันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากราวกับได้ปีนขึ้นไปปักธงไตรรงค์บนยอดภูเขาไฟฟูจิอะไรประมาณนั้นเลยเทียว....ฟินเฟร่อจนต้องคอยเตือนตัวเองว่า ช้าก่อนนน...แกแค่ทำชุดขายนะไม่ได้คิดค้นยาแอสไพรินได้เป็นคนแรก คือไม่ได้ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติขนาดนั้น ฮ่าๆๆ
...แต่คือออ เฮ้ย! เราสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนๆหนึ่งหันมาเล่นโมโมโกะได้อ่ะ มันสุดยอดเจรงๆ ...ถึงจะแค่คนเดียวก็รู้สึกหัวใจพองโตมากแล้วอ่ะ... ^_____^
ผ่อนคลายตัวเองตั้งแต่เริ่มจองบูธกันเลยทีเดียวว่าพร้อมจะทิ้งให้เพื่อนถ้าไม่มีงานไปวางขาย :)
ผ่อนคลายเรื่องผลงานว่าจะทำเท่าที่ทำได้ คิดทำแต่เนิ่นๆ ...ข้อนี้ยังผ่อนคลายได้ไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะถึงจะคิดแบบไว้คร่าวๆ แล้วแต่เนิ่นๆ แต่กว่าจะลงมือทำก็คือต้นเดือนกันยายนแล้ว แถมพอใกล้วันงานแทนที่จะเอาแค่ที่ทำเสร็จแล้วกลับโลภอยากได้แบบสำหรับตุ๊กตาอื่นเพิ่มเข้าไปอีก ต้องคอยดึงตัวเองกลับมาอยู่ตลอดว่า เฮ้ยย! ควรพอได้แล้วมั้ย?...ทำเยอะยังไม่รู้จะขายได้รึเปล่า!....
งานนี้คิดไว้ในหัวว่าจะเป็นชุดสำหรับโมโมโกะ บลายธ์ โอเดโกะ และตุ๊กตาประเภทพลาสติกทั้งหลาย พวก BJD เรซิ่น คิดว่าจะทำในงานช่วงต้นปี แยกกันไปจะได้ไม่เยอะเกิน
ก่อนจะถึงวันงานสามสี่วัน มานั่งแพ็คนั่งดูผลงานที่จะไปวางขายแล้วเกิดคิดได้ขึ้นมาว่า เอ...มันจะขายได้มั้ยน๊อ? คือเลือกโมโมโกะเป็นเมนหลักแต่น้องโมฯเป็นตุ๊กตาที่ไม่ได้มีคนไทยเล่นเยอะมากนักแบบ blythe การที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมาทำชุดโมโมโกะอย่างเดียว จะขายเป็นเรื่องเป็นราวออกชุดมาทีละ 4-5 แบบอย่างนี้ มันไม่ใช่กล้าอย่างเดียว มันต้องบ้า(มาก)ด้วย ... คือถ้าตอนที่คิดชุด-ทำชุด คิดเรื่องผลแบบนี้รับรองว่าไม่ทำแน่ กลัวขายไม่ได้ ฮ่าๆ... และก็คงจะหันไปทำอะไรแมสๆ ออกมาขายมากกว่าเพราะค่อนข้างคาดหวังผลได้...
หลายคนที่ไปขายของในงานเค้าใช้ความชอบเป็นตัวตั้งมาตลอด ฉันมองดูเพื่อนๆที่ทำชุด ทำนู่นทำนี่ออกมาขายด้วยความรัก ความชอบ โดยไม่ใส่ใจนักว่ามันจะขายได้หรือไม่ ฉันรู้สึกว่ามันดีจัง ขายไม่ได้ก็ให้เพื่อน แจกเพื่อน แลกของกันบ้างไรบ้าง และพวกเขาสามารถจะสร้างสรรค์ได้มากเท่าที่ต้องการเพราะไม่ได้ใส่ใจผล คือไม่สนใจว่าจะขายได้หรือไม่ ไม่มีกรอบในเรื่องรายได้มาบีบรัดเพราะมีงานประจำที่มีรายได้หลักอยู่แล้ว นี่คืองานอดิเรกสำหรับเขา... คือฟีลมันกู้ดมากๆเลยนะ...
ขณะที่ในมุมของฉัน การทำใจไม่ให้คาดหวังในผลเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะขณะที่ในใจอยากจะทำอะไรที่มันฉีก แหวกๆ อยากลองอะไรใหม่ๆบ้าง สามัญสำนึกมันก็จะดึงกลับมาที่รายได้ คือผลเป็นหลักเสมอ เพราะรายได้ที่จะได้จากการขายคือรายได้หลักที่ใช้ในการจุนเจือครอบครัวพ่อแม่พี่น้อง สำหรับฉันแล้วงานนี้มันไม่ใช่งานอดิเรก มันคืองานประจำ....ฟีลมันเลยไม่เหมือนกัน
....มันดีมากเลยนะที่เราสามารถทำในสิ่งที่รักให้เป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัวได้ ไม่ต้องไปขายแรงงานสานฝันให้คนอื่น แต่มันก็มีจุดที่ไม่น่าแฮปปี้อยู่บ้างเวลาที่มีเรื่องรายได้มาเกี่ยวข้อง คือมันต้องทำให้พอกิน ให้จุนเจือครอบครัวได้ด้วยทำตามใจมากนักไม่ได้...
เพราะฉนั้นสำหรับฉันแล้วการดึงใจออกห่างจาก'ผล' แล้วเอา'ความชอบ'เป็นตัวตั้งถือเป็นเรื่องยากและท้าทายความก้าวหน้าในการปล่อยวางมากๆ
ก็ถือเป็นเรื่องดีที่คราวนี้ได้ฝึกฝนตัวเองในเรื่องนี้ ถามว่าสอบผ่านมั้ย คิดว่าเต็ม 100 น่าจะได้สัก 50-60 ....ฮ่าๆๆ คะแนนขี้เหร่เล็กน้อย ผ่านมาแบบครูเอาติงยันให้พ้นเส้นยาแดงมาได้ เพราะคิดกังวล แอบเครียด และคาดหวัง ยิ่งเป็นมากขึ้นเมื่อใกล้วันงาน ต้องดึงใจตัวเองกลับมาที่การสร้างเหตุ กลับมาอยู่กับปัจจุบันวันละนับครั้งไม่ถ้วน......
....งานนี้ถลอกปอกเปิกทั่วตัว แต่ไม่ถึงกับตาย... :)
.....พอจบงานก็ปาดเหงื่อว่ารอด...โชคดีเหลือเกินที่มันจบลงที่ใจก็ฟิน รายได้ก็ไม่เฟล.... :))
ฉันเรียนรู้ว่าท่ามกลางความวิตกกังวล และความพยายามที่จะรักษาสมดุลย์ในชีวิต มันดูเหมือนเครียด ดูเหมือนมีเรื่องให้ต้องคิดมาก กับตัวเอง กับชีวิต กับสิ่งที่ต้องตัดสินใจแล้วมันอาจส่งผลกระทบต่อคนที่เรารักเราดูแลอยู่ แต่พอมันจบไปแล้วย้อนมองกลับไปอีกที ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้นะ เหมือนมีชิ้นงาน หรือโปรเจคเข้ามาทดสอบชีวิตเป็นเรื่องๆไป ทำจบไปแล้วก็ให้เรียนรู้จากมัน หาข้อคิด หาบทเรียนที่ได้...หากมีสิ่งที่ทำพลาดไปก็นำมาปรับปรุงแก้ไข เสร็จแล้วก็ต้องปล่อยวาง ...พร้อมจะรับมือกับสิ่งใหม่ที่กำลังจะเข้ามา และไม่ลืมที่จะอยู่กับปัจจุบันให้มากๆ
มารีแล๊กซ์มากๆ เอาตอนเลิกงานได้ไปกินส้มตำกับเพื่อนๆ สั่งกันจนเต็มโต๊ะ กินกันจนพุงกาง แล้วยังไปต่อขนมหวานกันทีีีีี่ after you อีก
....ได้กินอาหารอร่อย ได้คุยกันแซวกันขำๆ ....ความสุขล้นใจ อาหารล้นโต๊ะ อิ่มจนล้นมาที่คอ...แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน :)
ฉันอาบน้ำขึ้นเตียงนอนตอนห้าทุ่มกว่าๆ ก่อนที่จะผล๊อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและอิ่มใจ... ฉันนึกในใจว่า อืมมม...วันนี้มันดีจริงๆนะ......(ฟีลพริ้มเหมือนตอนตักช๊อคฯลาวาเข้าปากคำแรก... )
.......... คร่อกกกกกกกกก...zzzzzZZZZZ
ปอลิง. ไม่ได้ถ่ายรูปบูธตัวเองไว้เลยมัวแต่ขายของ อันนี้ไปขอชาวบ้านเค้ามาแปะไว้หน่อย ^_^
ปอลิง2.
ฟีลฟินสำหรับวันนี้ คือการที่คนๆหนึ่งที่ไม่เคยเล่นและไม่เคยมีโมโมโกะเลย มาที่บูธและชอบชุดที่เราทำมากจนตัดสินใจซื้อทั้งๆที่ยังไม่มีตุ๊กตา! ได้ชุดเราไปแล้วเธอจึงซื้อโมโมโกะจากบูธข้างๆ กลับบ้านไปเล่นเลยทีเดียวสองตัว!... คือมันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากราวกับได้ปีนขึ้นไปปักธงไตรรงค์บนยอดภูเขาไฟฟูจิอะไรประมาณนั้นเลยเทียว....ฟินเฟร่อจนต้องคอยเตือนตัวเองว่า ช้าก่อนนน...แกแค่ทำชุดขายนะไม่ได้คิดค้นยาแอสไพรินได้เป็นคนแรก คือไม่ได้ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติขนาดนั้น ฮ่าๆๆ
...แต่คือออ เฮ้ย! เราสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนๆหนึ่งหันมาเล่นโมโมโกะได้อ่ะ มันสุดยอดเจรงๆ ...ถึงจะแค่คนเดียวก็รู้สึกหัวใจพองโตมากแล้วอ่ะ... ^_____^
ความคิดเห็น