เมษาพาเพลิน :P

กลางเดือนเมษายนแล้ว ชีวิตเริ่มยุ่งๆตั้งแต่ก่อนงานดอลล์โทเปียจนบัดนี้ก็ยังรู้สึกวุ่นวายอยู่ จนต้องกลับไปทบทวนความจำตัวเองใหม่ถึงความตั้งใจเมื่อต้นปีเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำในปีนี้ ฉันหยิบไดอารี่ที่หยุดเขียนมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ขึ้นมาอ่านทบทวน และตั้งใจจะเริ่มเขียนต่อในเดือนนี้....
 
เมื่อรู้สึกหลงทาง คล้ายๆชีวิตลอยไปตามกระแสมากไปวิธีที่ดีที่สุดคืออยู่คนเดียวเงียบๆ และหยุดทวบทวนตัวเองว่าเราเฉไฉออกจากจุดมุ่งหมายเดิมมารึเปล่า จะได้ปรับเข็มทิศให้ไปสู่ทิศทางเดิมอีกครั้ง....

...it's work for me....ไม่แน่ใจว่า only me รึเปล่า... :) 

เร็วๆนี้ฉันได้ดูหนังเกี่ยวกับความตาย 2 เรื่อง the bucket list และ the last holiday หนังเป็นแนวเบาๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนแก่เป็นมะเร็งสองคนที่บังเอิญต้องมาแชร์ห้องในโรงพยาบาล คนหนึ่งผิวขาว อีกคนผิวดำ คนหนึ่งรวยหมาศาล และคนหนึ่งปากกัดตีนถีบจนแก่ คงไม่ต้องบอกว่าคนไหนรวย คนไหนเล่นบทคนจน ^^'  
สองคนนี้รับรู้จากหมอถึงผลวินิจฉัยล่าสุดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้ ทั้งคู่รับวันตายที่ใกล้จะมาถึงแบบสงบนิ่ง ไม่ฟูมฟายใดๆ อาจเป็นเพราะแก่แล้ว หรือหมดแรงจะสู้ก็ไม่ทราบได้  คนผิวดำเริ่มนั่งเขียนลิสต์สิ่งที่อยากทำก่อนตายเล่นๆ เขาเล่าว่า เขาเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเพราะแฟนท้อง ทำให้ต้องออกจามหาวิทยาลัยมาทำงานใช้แรงงานเท่าที่คนผิวดำไม่มีความรู้สูงคนหนึ่งจะหาได้ ลูกคนแรกคลอด จนมีคนที่สอง และคนที่สามตามมา ชีวิตเค้าไม่ม่ีอะไรนอกจากก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ส่งเสียลูกๆให้เรียนจนจบมีงานมีงานทำ แล้ววันหนึ่งที่เค้านั่งเดียวดายอยู่ในบ้านกับภรรยาที่จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กุมมือกันไปดินเนอร์ดูหนังมันเมื่อไหร่ ครั้งสุดท้ายที่พูดคุยกันอย่างรื่นรมย์โดยไม่มีปัญหาปากท้องมันกี่สิบปีมาแล้ว.... เค้าพบว่าชีวิตของเค้าช่างว่างเปล่า  45 ปีนับจากวันที่เขาออกจากมหาวิทยาลัยมันเหมือนหล่นหายไป  เขานึกถึง assignment ที่อาจารย์วิชาปรัชญาได้ให้เค้าทำเมื่อตอนเรียนปีหนึ่ง คือให้เขียนสิ่งที่อยากทำในชีวิตนี้ก่อนตายมาส่ง   ...ด้วยวุฒิภาวะตอนนัั้นเขาเขียนอะไรอย่างเช่น อยากเป็นประธานาธิดีผิวสีคนแรกของอเมริกา อยากเป็นมหาเศรษฐีประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ หรืออะไรเปลือกๆเทือกๆนั้นไปส่งอาจารย์  แต่ในวันนี้ วันที่เค้าได้รับรู้วันตายของตัวเองจริงๆ และมันกำลังจะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้แล้วด้วย  เขาจึงนึกอยากเขียนลิสต์ที่ถ้าได้ทำจะเติมเต็มชีวิตเขาอย่างแท้จริงขึ้นมาใหม่ 

- อยากหัวเราะท้องคัดท้องแข๊งจนน้่ำตาไหล (นัยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยหัวเราะแบบนี้เลย) 
- อยากไปเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยตาตัวเอง (อยากขึ้นไปบนภูเขาหิมาลัย) 
- อยากมีโอกาสขับรถวินเทจยี่ห้อที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก 
- อยากโดดร่มดิ่งพสุธา 
- อยากทำดีให้กับคนอื่นเพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อหวังสิ่งตอบแทนใดๆ 
ฯลฯ 

มหาเศรษฐีผิวขาวรู้สึกสนุกขึ้นมาเลยรับเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพราะเงินที่มีมหาศาลตอนนี้ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ทั้งสองจึงร่วมเขียนลิสต์เพิ่มและตกลงทำมันด้วยกัน ทั้งคู่ออกจากโรงพยาบาลตระเวณไปทั่วโลกเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่เขียนไว้ ไล่ทำสิ่งต่างๆในลิสต์ให้ครบก่อนถึงวาระสุดท้าย

สิ่งที่ฉันรู้สึกว่ามันงดงามในหนังเรื่องนี้คือการที่หนังพยายามชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วชีวิตเราทุกคนต้องการสิ่งๆหนึ่งที่เรียบง่ายและหาได้ใกล้ตัวไม่ยาก แต่เราทุกคนกลับใช้เวลาทั้งชีิวิตเพื่อทำในสิ่งตรงกันข้าม เราทำให้ชีวิตเรายาก และก่อทุกข์โดยไม่เคยเฉลียวใจ ไม่ว่าจะตัดสินใจผิดพลาด หรือลอยตามกระแส และกรอบของสังคมเพื่อแค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ  แต่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตจริงๆสักที 
มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้เฒ่าสองคนนี้ขึ้นไปอยู่บนยอดปิรามิดในอียิปต์มองดูพระอาทิตย์ตกดิน เป็นลิสต์ข้อที่สอง คือการได้มาเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยตาตัวเอง แทนการไปปีนภูเขาหิมาลัยเนื่องจากสภาพอากาศไม่อำนวยตลอดทั้งปี และปีหน้าฟ้าเปิดสองเฒ่านี้คงไม่ได้มีโอกาสไปอีกแล้ว ระหว่างเอนจอยวิวอันงดงามคนผิวดำพูดถึงความเชื่อของชาวอียิปต์ว่าการที่ตายไปแล้วการจะได้ขึ้นสวรรค์คนตายต้องตอบคำถามผู้เฝ้าประตูสวรรค์ 2 ข้อ
คำถามข้อแรกคือ ' have you found joy in your life?'  
คำถามข้อสองคือ 'has your life brought joy to others?'

ถ้าคำตอบคือ ใช่ ทั้งสองข้อประตูสวรรค์จะเปิดให้ แต่ถ้าไม่ใช่หรือใช่แค่ข้อใดข้อหนึ่งหนังไม่ได้บอกว่าต้องลงนรก และฉันเดาว่าไม่ใช่การลงนรก แต่อาจเป็นการกลับไปเกิดใหม่ เรียกว่าให้โอกาสลองใหม่อีกครั้ง แก้ตัวจนกว่าคุณจะใช้ชีวิตเป็น เดาว่าบางคนอาจเกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายหลายสิบชาติก็ยังไม่ได้ทำทั้งสองข้อนี้อยู่ดี...


the last holiday เบาสมองยิ่งกว่าเรื่องแรก เป็นเรื่องของผู้หญิงผิวสีคนหนึ่งที่ทำงานงกๆเพื่อเก็บเงิน อยู่ในสังคมชนชั้นกลางถึงล่าง เป็นเสมียนแผนกเครื่องครัวในห้างสรรพสินค้ามาตั้งแต่สาวจนเข้าวัยกลางคน ไม่เคยออกไปใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ เธอแพลนชีวิตไว้อย่างเป็นระเบียบ กินอาหารไดเอทรักษาสุขภาพ เงินที่หามาได้ถูกเก็บเป็นส่วนๆ จัดสรรเป็นค่าเช่าห้อง ค่ากิน ค่าใช้ ค่าเจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯ แค่นี้ก็ไม่มีเหลือให้กระดิกไปเท่วเตร่ที่ไหนได้อีกแล้ว  ไม่เคยบ่นหรือปริปากพูดอะไรต่อเจ้านายหรือครอบครัวถึงความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง เธอมีความฝันแต่ไม่กล้าที่จะลาออกมาทำมันเพราะกลัวจะไปไม่รอด จนวันหนึ่งได้ไปตรวจสุขภาพตามโปรแกรมของที่ทำงานและหมอแจ้งว่าเธอเป็นโรคเนื้องอกในสมองขั้นสุดท้ายและจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเดือน  เธอช๊อคและกลับมานั่งทบทวนตัวเองแล้วรู้สึกว่าที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตอยู่ในกรอบแคบๆที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนไม่กล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างแท้จริง แทนที่จะหดหู่รอรับความตายอยู่ที่บ้าน เธอตัดสินใจลาออกและตั้งใจจะใช้เงินทุกสตางค์ที่หามาได้เพื่อตัวเอง เที่ยว กิน ช้อปหาความสุขก่อนวาระสุดท้ายจะมาถึง 

มีอยู่ฉากนึงเธอแต่งตัวด้วยชุดราตรีสวยเตรียมออกไปดินเนอร์ที่โรงแรมสุดหรู เธอมองตัวเองในกระจก ยิ้มให้กับตัวเองแล้วพูดว่า 'คราวหน้าเราจะทำมันให้ดีกว่านี้ จะหัวเราะให้มากกว่านี้ กล้าที่จะรักให้มากกว่านี้ และไม่กลัวจนเกินไปแบบนี้อีก'  
 
หนังมีหลายประโยคที่สะกิดใจให้เรากลับมามองชีวิตตัวเองใหม่ เรื่องนีี้จบลงด้วยการที่เครื่องสแกนสมองทำงานผิดพลาดจริงๆแล้วเธอไม่ได้เป็นโรคร้ายที่ว่านั่น แต่แทนที่เธอจะเข่าอ่อนเพราะได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ไปจนหมดสิ้นแล้วตอนรู้ความจริง แต่เธอกลับมีแรงบันดาลใจที่จะเริ่มลงมือทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงให้ได้ ก็ในเมื่อพระเจ้าให้โอกาสครั้งที่สองในการใช้ชีวิตมาแล้ว ครั้งนี้เธอจะทำมันอย่างดีที่สุดตามที่ได้สัญญากับตัวเองไว้...

#ชีวิตเราก็เช่นกัน 

:) 

  

บทความที่ได้รับความนิยม